10/30/2551

คุณค่าของบทสวดนั้นคือ?





























(ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับบทความ)
ต้องขอบคุณประเด็นที่น่าสนใจที่ได้มาจากการตั้งคําถามของ
ไอ้เติกห้องเครื่องในเรื่องของบทสวดต่างๆ 
คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่คําแปลของบทสวด
อยู่ที่สวดไปแล้วจะทําให้ชีวิตเจริญขึ้น หรือสวดไป
แล้วเข้าใจพุทธศาสนามากขึ้น

แต่ผมมองว่าบทสวดมนต์เป็นกุศโลบายเพื่อชักจูง
คนที่อ่านบทสวดได้มีสมาธิด้วยกลวิธีให้อยู่กับการอ่าน 
การทําความเข้าใจการออกเสียง การใช้สมอง
อยู่กับตัวหนังสือที่ไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคยทําให้เรา
มีความพยายามและตั้งสมาธิมากกว่าการที่เราไป
อ่านเนื้อร้องเพลง ละลายของโฟร์-มดแน่นอน

ดังนั้นจึงเป็นการตั้งคําถามว่าจริงๆแล้วแก่นของ
บทสวดมนต์คือการให้ผู้อ่านได้ใช้สมาธิกับมันใช่ไหม?

แต่ถ้าเราลองมองจากพื้นความรู้ทางพระพุทธศาสนา
แน่นอนว่าคําแปลที่บอกว่าอะไรหมายถึงอะไร
ย่อมเป็นสิ่งสําคัญในการสนับสนุนคุณค่าของบทสวด
มากกว่าที่จะเป็นแค่ตัวอักษรที่อ่านไปตามจังหว่ะ
เพื่อทําสมาธิกับมัน 

ผมคิดว่าคําแปลจากบทสวดเองก็มีส่วน
ไปช่วยสนับสนุนให้บทตสวดดูมีนํ้าหนักและ
ทําให้ผู้สวดมีความสนใจในตัวบทสวด
เพราะหากบทสวดเองขาดความหมายแล้ว
ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีใครหยิบขึ้นมาสวดไหม?

(ขอขอบคุณ เติกห้องเครื่องที่จุดประเด็นคําถาม)


10/15/2551

ตัดสินงานออกแบบ(หัวข้อดูซีเรียสมากมาย)






































หลายครั้งที่เราต้องตัดสินงานออกแบบและหลายครั้ง
ที่เรารีบตัดสินว่า งานไหนดีหรือไม่ดีอย่างไร คงเหมือน
กับเวลาที่เราขึ้นรถเมล์และกระเป๋ารถเมล์พูดว่า 
"ชิดในหน่อยเพ่ ในๆเลยพี่ ช่วยชิดในด้วยครับเพ่"
โดยที่แม่งไม่ดูว่าข้างในอัดกันเยี่ยงปลากระป๋อง
ในซอสมะเขือเทศ บางครั้งการตัดสินงานที่เร็ว
เกินไปโดยไม่มองดูรอบๆให้ดีก่อนคงเป็นการ
กระทําที่เราเคยชินแต่ไม่ควรจะชินซักเท่าไร

งานที่ดีและงานที่สวยไม่เหมือนกัน แต่เรามักมอง
ว่างานที่สวยคืองานที่ดี ทั้งๆที่เราบอกว่าบางที
คนที่สวยอาจจะนิสัยเสีย น่าแปลกดีว่ะ!
เราควรพิจรณาจากอะไร ผมคงบอกแน่ชัดไม่ได้
งานที่สวยอย่างเดียว พอนานๆก็เบื่อ
งานที่มีการใช้งานที่ดีอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรดึงดูดให้ดู
งานที่มีแต่ความเหมาะสมก็ดูจะเนิบๆไปหน่อย

ทั้งสามอย่างน่าจะถูกตวงและชั่งนํ้าหนักกันอย่าง
ลงตัวแล้วนํ้ามาคลุกเคล้าปรุงเป็นงานชิ้นหนึ่ง
ในชีวิตเราต้องตัดสินงานตัวเอง งานคนอื่นอีกมามาย
ไม่ควรมองงานที่ไม่สวยแล้ว พูดว่า " หยี๋ " แล้วเดินจากไป
แต่ควรมองว่างานนั้นมีข้อดีอย่างไรเสียตรงไหน
ถ้าเป็นเราเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร น่าจะเป็นประโยชน์
มากกว่า 

บางครั้งที่เรายอมให้รสนิยมส่วนตัวไปตัดสินงาน
ต่างๆซึ่งผมมองว่ามันก็ดีแต่เราไม่ควรใช้มันเป็น
แก่นหลักในการตัดสิน เพราะรสนิยมก็คือรสนิยม
เป็นแค่รสชาติที่เรานิยม คนอื่นอาจจะไม่ได้นิยม
แบบเราก็ได้ไม่ใช่หรอจ๊ะ

จากนี้ไปอย่ารีบด่วนตัดสินงานออกแบบคนอื่นด้วยวิธี
ทําไข่ลวกเหอครับ ค่อยๆมองหลายๆด้านก่อนที่เราจะ
บอกว่างานั้นดีไม่ดีอย่างไร

10/12/2551

จิ๊บๆ ผู้หญิงเป็นนกหรอ

ผมมีความเชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเจอกับผู้หญิงที่สามารถพูดภาษานกได้
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมไป B2S (ร้านเครื่องเขียนที่ของชั้นนําครบ+ราคา
ไม่น่าคบ) ได้ไปเข้าคิวเพื่อจะจ่ายเงิน บังเอิญกระดาษเจ้ากรรมดันไปโดน
คุณผู้หญิงวัย 25หน้าตาไม่ค่อยสวย ออกขี้เหร่นิดๆทันใดนั้นผมได้ยิน
เสียงว่า " จิ๊บ " แปลกดีนะครับเหมือนกับมีนกขี้หงุดหงิดมารุมทึ้งหูและ
ระบบประสาทการรับเสียง

หลังจากที่สมองส่วนซิริบั้มของผมทํางานเพื่อระลึกย้อนอดีตไปว่าจริงๆ
เราเองเคยได้ยินเสียงนี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้ตั้งคําถามกับมัน นั้นสิ 
ทําไมต้องจิ๊บ หรือผู้หญิงกับ นก มีความสัมพัทธ์ทางพันธุกรรมอย่าง
ลึกซึ้ง อืม..ไม่น่าใช่ว่ะ ท่านผู้อ่านลองทําเสียงดูนะครับจริงๆแล้ว
มันก็ไม่จิ๊บ!! ซะทีเดียว มันจะเหมือนเอาคําว่าจิ๊บ+แจ๊บ 
เป็นการออกเสียงฟิวชั่นแบบใหม่ตามที่สมัยนี้นิยมการฟิวชั่นของ
ต่างๆ 

น่าแปลกที่เสียงนี้หาได้ยินจากผู้ชายได้น้อยมากหรือเรียก
ได้ว่าไม่เยอะทั้งๆที่ไอ้ที่ผมลองทําดูก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย
ก่ายกองขยะถ้าให้ผมเดานะ ผมเดาว่ามันเกิดจากการสืบต่อ
ทางพฤติกรรมของเพศ ญคือเห็นอาซ้อคนนั้นทําแล้วเกิดการ
ลักจําต่อๆกันโดยไม่ตั้งใจ แต่ที่แน่ๆผลสรุปชัดเจนในเรื่องนี้ยัง
คงไม่มี ถ้าผู้หญิงคนไหนมาอ่านแล้วมีความคิดเห็นหรือข้อเท็จ
จริงกรุณาเมล์มาบอกผมที อยากรู้จริงๆว่ะ
จิ๊บ จิ๊บ......

สัพเพเหระ

ในที่สุดก็ถึงเวลาปลดแอกออกจากบล็อคเก่าที่ยึดติดกับวิชา
ทางการออกแบบเพียงอย่างเดียว สัพเพเหระคืออะไร ถ้าแปลตาม
Dictionary บนคอมผมก็ได้ใจความว่าที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน, ที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ
จึงเป็นสาเหตุหลักในการนํามาตั้งชื่อบล็อค ซึ่งเนื้อในหรือ บทความก็จะพบได้ว่า
มันกระจายมากคือถ้าผมสนใจอะไรหรืออยากเขียนอะไรก็จะเขียน
ไม่มีหลักประกันแน่ชัดว่าแนวทางของเนื้อหาจะดําเนินไปในแง่มุมไหน
แต่โดนส่วนใหญ่น่าจะมาจากอาการสนใจไอ้เรื่องที่ไม่ควรสนใจ
ยังไงถ้าเริ่มเขียนบทความแล้ว ใครมีความเห็นอะไรก็ช่วยๆกันcommentได้
เออใช่ บทความเกี่ยวกับการออกแบบก็ยังอยู่ไม่ไปไหนเพราะเสียดาย
อยากอ่านย้้อนหลังก็เชิญตามสบายยายไม่ว่า

8/24/2551

ถุงผ้ากับข้อความแท้จริง



สุดท้ายจึงยอมดรอปความชอบของตัวเองเพื่อให้การสื่อสารกับผู้รับสารเป็นไปได้
อย่างง่ายขึ้น โดยนําข้อความที่นิยมชมชอบบนถุงผ้ามาล้อระหว่างหน้ากระเป๋าและ
หลังกระเป๋าในแง่ของเชิงบวกและเชิงลบ(สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน)
หลังจากเตรียมข้อความเรียบร้อยกระเทียมเจียวแล้ว จึงติดต่อเตียบแฟนเติก
กับ เติกแฟนเตียบ และติดต่อ สะเดาโก๊ะ รวมทั้ง บิวแบ็ด เพื่อมาเข้าโรงงานนรก
ในครั้งนี้ :P


ปล.สุดท้ายขอขอบคุณ เตียบ เติก เดา บิว ไดไกโก้ พี่ไพลวัล ในความร่วมมืออย่างเต็มที่ทุกคน 

icon เล่าเรื่องถุงผ้า


ทดลองทํา icon เล่าเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ถุงผ้าที่มาและที่ไปดู แต่หลังจากปรึกษากับอาจารย์
แล้วได้ความว่า ผู้รับสารคงเข้าใจได้ยาก จึงจํายอมต้องเปลี่ยนวิธีการนําเสนอไป แม้ว่าตนเอง
และเพื่อนบางคนจะค่อนข้างชอบวิธีการนี้พอสมควร

8/03/2551

สเต็ป และ สติ ของถุงผ้า

ถุงผ้า หลังจากอยู่กับมันมาพอสมควรก็พบว่าเรื่องราวต่างๆมีที่มาที่ไป
เฉกเช่นเรื่องทั่วไป 1+1=2 สมการหรือการบอกเล่าต่างๆคงไมได่้ต่าง
จากเรื่องทั่วไปจึงอยากจะลองนํามาถ่ายทอดเป็นประโยคง่ายๆดู
คัาเชื่อมต่างๆหรือสัญญะที่เข้าใจกันดีอยู่แล้วน่าจะเป็นประโยชน์
ต่อการช่วยสื่อสารในสิ่งใหม่

ถุงผ้า? บอกว่ามันเปลืองที่คนแห่งมาซื้อถุงผ้าเกินจําเป็น แต่ก็มีคน
ตั้งคําถามกับผมว่า "เฮ้ย!! แล้วงานของมึงหล่ะไม่เปลืองหรือไง
ใช้ถุงผ้าเป็นสิบๆใบแถมยังต้องนั่งสรีนอีก "

ผมตอบได้เลยว่าเปลือง เปลืองแน่ๆ แต่ถามว่าถ้างานนี้ถูกพิมพ์ใน
กระดาษธรรมดาหรือเป็นแค่โปสเตอร์แน่นอนว่าความน่าสนใจ
จะถูกลดลงไป เพราะฉะนั้นแม้ว่าผมมีเรื่องที่อยากจะพูดแค่ไหน
จะมีข้อมูลมากขนาดไหน แต่ถ้าภาพแรกที่ผู้ชมเห็นมันไม่น่าสนใจ
เขาก็จะไม่เดินมามอง ข้อมูลที่หามาจะเป็น 0 ทันที

ผู้ที่ทํางานเกี่ยวกับการประหยัดหรือช่วยกันลดอะไรซักอย่างคงพบ
กับปัญหานี้ไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อเราต้องการสร้างหรือบอก
อะไรซักอย่างแน่นอนเราก็ต้อง " ใช้ " เพื่อที่จะ " สร้าง "
แต่มากแค่ไหนและสมควรหรือเปล่า
ตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่หาคําตอบมาเติมให้กับมัน

7/31/2551

การกลายพันธ์ทางบริบทของถุงผ้า




จริงอยู่ว่าถุงผ้าถูกสร้างมาจากวัตถุประสงค์ที่ดี เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ในเรื่องของ
การช่วยกันลดโลกร้อน (Save the world ,Go green) 
แต่ถุงผ้าเองมีการกลายพันธ์ทางบริบทของมันโดย
เริ่มแรกจากการที่ผ้าฝ้ายดิบนํามาทําถุงผ้าและสรีนคํารณรงค์ต่างๆเพื่อ
ให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้พบเห็นและสร้างสังคมถุงผ้าขึ้นมา
จากนั้นก็พยายามใส่กลวิธีต่างๆลงไปให้กับมัน
เช่นงานสุดโดงดังพลุระเบิดเยี่ยงสงครามโลกของ
Anya (i'm not plastic bag)
จากนั้นถุงผ้าได้กลายมาเป็นแฟชั่นซึ่งก็ใช่ว่าจะไม่ดี
แต่เมื่อสีค่อยๆถูกเปลี่ยนไปความหมายก็ถูกเปลี่ยนตามไปด้วย
ผู้คนซื้อถุงผ้าเพราะเป็นแฟชั่น brand ต่างๆหันมาช่วยกันรักโลก
ที่มาพร้อมกับการเพิ่มการผลิตและเร่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
ผมคงบอกไม่ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเพียงแต่คิดว่าถ้ามันมันน่าจะมี
จุดสมดุลย์ระหว่าง แฟชั่น กับ เจตจํานงแท้จริงของถุงผ้า
และจุดนั้นแฟชั่นจะช่วยสงเสริมควาหมายของถุงผ้าที่แท้จริง
ไม่ใช่กลืนกินความหมายไปซะเอง

7/22/2551

สวยประหาร


ความตายหรือสิ่งที่หลายคนเรียกกันว่าด้านมืดอาจจะมีความหวานประกอบอยู่
ซึ่งอาจจะดูขัดแย้งแต่ก็สามารถนํามาพูดรวมกันได้เป็นอย่างดี

7/10/2551

นามบัตรชื่อบัตรเนมบัตร







นามบัตรที่ทําด้วยมือสงสัยเหมือนกันว่าปกตินี่ทําด้วยอะไรกัน

7/08/2551

วิธีการผลิตถุงพลาสติกและตรรกะการคิด



ถุงผ้าถูกมองเป็นการซื้อเจตจํานงทางจริยะธรรมอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นตัวของถุงผ้าหรือชุดข้อมูลที่ติดมา
จากเปลือกภายนอกล้วนดูมองในเชิงบวก ถึงแม้ว่าบางครั้งถุงผ้าจะทําให้เกิดประโยค OXYMORON 
(วลีสองวลีหรือประโยคที่ขัดแย้งมารวมกัน) อย่างเช่น  "นักบริโภคนิยมจอมอนุรักษ์ "
ซึ่งผลเสียหรือผลดีมันจะมากกว่ากันเราคงบอกไม่ได้เช่นกัน



7/07/2551

ติดเรทหน่อยนะ


"ขวดเบียร์จอมลามก"

7/06/2551

วันสุดท้ายของฉัน


"ถึงเราจะไม่อยู่ แต่โลกก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เราไม่ได้เอาโลกไปด้วย"

7/05/2551

"ไม่อาจจะใช่ Yes i am not" โดย อ.สันติ




ภาพโปสเตอร์จากhttp://grafiction.blogspot.com/
หลังจากที่เมื่อวานได้มีโอกาสไปสิงอยู่ในงานแล้ว พบว่าตัวงานนอกจากจะเป็นที่น่าสนใจ
ในเชิงของเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อสารในเรื่องของการเปรียบเทียบระหว่าง ข้อความบริสุทธ์
ที่จัดอย่างไร้ระเบียบและไม่ได้มีชุดข้อมูลอื่นมารบกวน กับ ข้อความที่
จัดอย่างมีระเบียบแต่มีชุดข้อมูลอื่นมารบกวน ( ตัวหนังสือที่ตัดจาหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ) 


งานของ อ.สันตินอกจากจะสื่อสารที่ในสิ่งที่ตัวเขาเองต้องการจะพูดได้แล้ว ยังก่อให้เกิด
บทสนทนาต่างๆ จากผู้เข้าชมงาน ในตัวหนังสือที่มีชุดข้อมูลเข้ามาก่อกวนในการอ่าน 
แต่ชุดข้อมูลนั้นยังก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างบุคคลต่างๆ จนเป็นบทสนทนาต่างๆ
หลากหลายในห้องสี่เหลี่ยมที่อัดแน่นไปด้วยชุดข้อมูลต่างๆ
สําหรับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้ไปเข้าชมก็ขอเชิญชวนให้เข้าชมกันนะ วันนี้ถึงวันที่ 31 ว่างๆก็ลองหาเวลาไปกันดู
หรือลองดูข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับ ตัวงานและอ.สันติได้ที่นี่http://grafiction.blogspot.com/

6/29/2551

Andy warhol คิงพ็อปอาร์ต


กล่าวถึง Pop Art
 ศิลปะรูปแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษราว ค.ศ. ๑๙๕๔ โดยกลุ่มศิลปินอิสระที่มีนักวิจารณ์ศิลปะชื่อ ลอว์เรนซ์ ฮัลโลเวย์ (Lawrence Alloway) ร่วมอยู่ด้วย และเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอแนวคิดใหม่ของศิลปินหัวก้าวหน้ากลุ่มนี้ โดยกล่าวว่าพวกเขาได้พบบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมพื้นบ้านที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เช่น ภาพโฆษณาสินค้า ภาพการ์ตูน เครื่องหมายจราจร ฯลฯ แม้สิ่งเหล่านี้จะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานศิลปะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มีอิทธิพล และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต และหากพิจารณาให้ดีก็จะพบความงาม และสาระที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างน่าสนใจ ศิลปินกลุ่มนี้สนใจรูปแบบของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นแต่ปฏิเสธเนื้อหาที่แสดงออกเชิงพาณิชย์ และไม่เชื่อในเรื่องความแตกต่างของรสนิยมดีหรือเลวเพราะถือเป็นสิ่งสมมุติ  อ้างอิง http://www.sarakadee.com
พูดถึง ลุงแอนดี้
Andy หยิบจับสิ่งที่อยู่รอบๆตัวในชีวิตประจําวันมาจัดวางให้เกิดความน่าสนใจ หลายคนแปลกใจว่าทําไมแค่การเอา
ภาพซุปกระป๋องมาเรียงกันถึงกลายเป็นงานศิลปะที่มีชื่อเสียงได้ ผมก็แปลกใจ
แต่เราต้องอย่าลืมว่าในเมื่อสิ่งที่อยู่รอบตัวเราถูกนํามาอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า " งานศิลปะ "
มันทําให้เราแปลกใจว่าทําไมหนอทําไม จะบอกอะไรหรือ?
ผมว่างานของAndy บอกถึงความเป็นบริโภคนิยมได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าการเอาวัตถุชนิด
เดียวกันมาทําการซํ้า มันยอมบ่งบอกถึงความมากมาย บอกถึงอารมณ์ของเครื่องจักร
บอกว่านี่คือ บริโภคนิยม ซึ่งก็ดูจะตอบโจทย์เรื่องบริโภคนิยมได้เป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าถ้างานนี้ถูกนํามาในยุคนี้ผู้คนจะยังสนใจมันอยู่หรือไม่?

6/27/2551

ถวายความรักแก่โลก


" ฉันเป็นของบกพร่อง ฉันไม่ได้โชคดีเหมือนคนอื่นเขา 
ใครๆว่าฉันไม่ปกติ ฉันชํารุด
ฉันไม่ค่อยยิ้มและดีใจออกนอกหน้า
แต่ความรักที่ฉันมีให้แก่โลกใบนี้
ฉันคิดว่ามันไม่น้อยกว่าใคร "

6/22/2551

ข้อความที่ออกมาจากถุงผ้า :)



นับเป็นสิ่งที่ดีเมื่อเราได้ถือถุงผ้าแล้วเหมือนได้ช่วยโลกใบนี้เอาไว้
แฟชั่นถุงผ้า ชวนให้เราหลงไหลไปกับกระแสบริโภคนิยม
ทุกครั้งถุงผ้าจะพูดออกมาเสมอว่า
"เรารักธรรมชาติ เราต้องการช่วยโลก เราเป็นมิตร"
แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่จะไม่ดีแน่นอนถ้า
เรามัวแต่หลงกับคําเหล่านี้จนลืมจุดประสงค์แท้จริง
ของถุงผ้าไป และมัวแต่ให้ความสนใจกับข้อความที่
ตะโกนออกมาจากกระแสแฟชั่นคนดีที่ถาโถมเข้ามา
จนเจตจํานงที่แท้จริงของถุงผ้าได้ถูกลืมเลือนไป
เลยทดลองทําอะไรเล่นๆ

แน่นอนว่าเราคงไม่อาจสรุปได่้ว่าอะไรถูกผิดไม่สามารถ
บอกให้เลิกพฤติกรรมที่ผิดได้แต่เราสามารถตั้งคําถามให้
กับผู้ใช้ได้คิดต่อเองได้(โหยซึ่งหว่ะ ฮ่าาาๆๆ)



6/21/2551

Display ไทพอกราฟี่ ไทโปกราฟี่ ไทโป๋วกราฟี๋ (ชักมึน)


ไม่มีไรมากทําต้นแบบ font มาเลยเอามาลงไว้งั้นๆ ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไร
คงนั่งทําไปเรื่อยๆไม่รีบมีไรเพิ่มเติมไว้จะมาบอก ส่วนคอนเซ็ปไม่มีไร
มาก แค่อยากจะทํา Display ซักตัวที่ดูเรียบง่ายแต่ไม่แข็งจนเกินไป
คอนเซ็ปอาจจะดุลอยๆแต่จะพยายามคุมให้ดูแล้วเป็นชุดเดียวกันและ
มีคาแร็คเตอร์บางอย่างร่วมกัน(มั้ง)ช่วงนี้คิดงานไม่ออกบอกไม่ถูกหวย


ปล.ขอบคุณ ฟาเชสโก้ โมวาริชชี่ (โม่) สําหรับคําแนะนําต่างๆ
อันนี้เวปของ ฟานเชสโก้ มีสอนทําฟอนต์แถมยังให้โหลดฟรีด้วยเข้าไปดู
กันหล่ะรับรองว่ามีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการครบ5หมู่
http://tirawarit.blogspot.com/

fake plastic trees ต้นไม้ปลอมลองหัวใจ


fake plastic trees ของ radio head วงดังสุดเก๋าจากเกาะอังกฤษถ้าใคร
ได้ดู mv จะรู้ได้ว่าเป็นการแอบเสียดสี บริโภคนิยม (consumerism) อย่าง
สนุกสนานในอารมณ์หม่นๆ จริงๆแล้วผมมีความเชื่อ
ว่าพลังงานมหาศาลศูนย์เสียไปเพราะ consumerismเป็นจํานวนมาก
สิ่งของที่ควรมีแค่ชิ้นหรือสองชิ้นบางคนกลับมี20ชิ้น เช่น กระเป๋า
รองเท้า หรือแม้กระทั่ง ถุงผ้าที่ตั้งใจว่าจะเอามาช่วยกอบกู้โลกมัน
เหมือนการได้เห็นของในหมวดหมู่เดียวกันทําซํ้ากันในจํานวนมากๆ
และการซํ้าก็ไมไ่ด้ก่อใก้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากได้รู็สึกว่า
เป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมแฟชั่น หรือกระแสต่างๆ

ใครๆก็เห็นงานของุลงwarhol เราก็เห้นว่ากระป๋องซุปมันเรียงกันยา
วเป็นแถบขนาดไหน มันทําให้รู้สึกว่า โหแมร่งเยอะหว่ะดูเป็นอะไร
ที่อุตสาหกรรมมากๆ ทั้งๆที่ถ้าเราเห็นมันแค่อันเดียวเราก็อาจจะรู้สึกแค่ว่า
"เออรสนี้น่ากินหว่ะ" แต่ในทางกลับกัน ซุปกระป๋องยังดูจะเป็นบริโภคนิยม
น้อยกว่าแฟชั่นหรือกระแสต่างๆในสมัยนี้ ที่หลายอย่างดูจะไร้ซึ่ง
ความจําเป็นในการที่จะนํามาเป็นเจ้าของ ถุงผ้าคงเป็นตัวอย่างที่ดีใน
การที่จะพูดเรื่องนี้ (ใครยังไม่ได้อ่านกลับไปดูตอนข้างล่างเอา)

ทุกอย่างถูกมองข้ามคุณค่าที่แท้จริงไป ถุงผ้าเป็นแค่ตัว
แทนของสัญลักษณ์ของความเป็นคนที่รักโลกเหมือนๆกับที่
องเท้าไนกี้เป็นตัวแทนของความเท่ ดูSport ปราดเปรียว


เรามองความความเป็นถุงผ้ากับความเป็นรองเท้าไป
เราไม่ได้คิดคัานึงถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงหรือจุดประสงค์ของถุงผ้า
เราไม่ได้คิดถึงว่ารองเท้านี้ราคาแพงเกินไปไหมหรือใส่สบายเท้าซักเท่าไร
เพราะเราแค่ยึดติดกับกระแสหรือค่านิยม ไม่ได้ยึดติดกับคุณค่าของสิ่งนั้นๆ
เพราะฉะนั้นระหว่างต้นไม้จริงๆและต้นไม้พลาสติกก็คงจะไม่ต่างอะไรกัน
ถ้าเรามองมันแค่ภายนอกหรือผิวเผิน

mv fake plastic tree
http://www.youtube.com/watch?v=HeowFbvpu0U

6/15/2551

เก็บถุงพลาสติก 1 อาทิตย์คิดไม่ออก

น่าแปลกทีี่คนพยายามจะใช้ถุงผ้าในการช่วยดลกร้อน แต่แปลกที่ไม่เห็นจะลดใช้ถุงพลาสติกกัน ถุงพลาสติก
มีจัานวนที่มากมายราวกับหมู่ดาวในอวกาศ แต่บางใบกลับมีอายุการใช้
งานสั้นกว่าแมงเม่าด้วยซํ้า ถุงพลาสติก
มันถึงล้นโลกกันอยู่ในปัจจุบัน ก็คิดไม่ออกหรอกว่าจะไปช่วยไรได้แค่คิดว่า เออแทนที่จะไปหมกกับถุงผ้าที่ต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่ลองเอาถุงพลาสติกที่อายุแสนสั้น มาทําไรได้ไหม
ข้างล่างนี่ก็เป้นภาพถุงพลาสติกที่เก็บได้ในอาทิตย์นี้
จะเห้นได้ว่า
1. สีของพลาสติกมีหลายสี ขาวดํา ขุ่น หรือ ใสมากน้อยต่างดันไป
2. ขนาดสิขนาด ก็ต่างกันไปตามการใช้งานว่าเอาไว้ใส่อะไรก่อนหน้านี้
3. โลโก้และกราฟฟิคทําเท่ทั้งหลายที่แปะเพื่อโฆษณาหรือความที่คิดว่าจะสวยงาม
4. ลักษณะของหูหิ้ว ก็ต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
คือปกติผมจะรวบรวมถุงไ
ว้ห่อขยะไม่เคยจะได้ดูหรอกว่ามันมาจากไหน ก็มีเนี่ยแหละถึงได้มานั่งคิดดู
แต่ถุงพลาสติกเองมีข้อดีเยอะนะมันถึงนิยมกัน ถ้าเราได้เอาถุงพลาสติกมาทํางาน
ก็น่าจะเป้นการไม่ได้เพิ่มภาระให้กับธรรมชาติเวลาที่เราใช้มันมาทํางานออกแบบ
แต่ก็นั้นสิจะเอามันมาทําไร ก็ลองไปค้นๆมาดูก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันแต่อาจจะดูคิดน้อยไปนิด
เช่น กระเป๋าที่ทําจากถุงพลาสติก หรือเอาถุงพลาสติกมามัดรวมกันเพื่อเป็นตัวอะไรซักอย่าง
แต่ก็นะเราคิดว่าถุงพลาสติกมันไมไ่ด้มีกระแสหรือบริโภคนิยมมาครอบงํา
มันซักเท่าไร คนใช้เพราะต้องใช้ ไม่ได้รู้สึกว่า กูถือแล้วเท่ คนอื่นมีถุงพลาสติกแล้วกูอยากมีจัง
ถ้าเกิดนํามันมาสื่อการได้ก็คงดีไม่น้อย

บริโภคนิยมชมชื่น


แฟชั่นของ ถุงผ้า คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริโภคนิยมไปแล้ว การที่คนเราต้องการซื้อ ถุงผ้าเพื่อ
ซื้อ สัญญะของความเป็นคนดี เพื่อตอบสนองความ "อยากได้ อยากมี อยากเหมือนคนอื่น" 
อย่างเช่น “อู๊ย จั๊กกะแร้ดำไม่ดีหรอก“ “ผู้ชายชอบผู้หญิงผมสวย” คนขาวสวยกว่าคนดำ จั๊กกะแร้ต้องหอม
ถุงผ้าก็ถูกผูกไปกับระบบนี้เรียบร้อยแล้ว " ไอ้พวกใช้ถุงพลาสติกเอ้ย เชยหว่ะ ไอ้พวกไม่ใช้ถุงผ้าแมร่งไม่มีรสนิยมเลย"
ก้ไม่ใช่ว่าไม่ดีและเราคงแก้ไขอะไรได้ยาก เพียงแต่มันก็ทําให้เราหลงลืมเจตนาที่แท้จริงของถุงผ้า
จึงเกิดวิธีการใช้ที่ผิดๆซึ่งก็ไปกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เราคงต้องช่วยกันไม่งั้นถุงผ้าก็จะเป็นเพียงแค่
"ค่านิยม"