ไดรับโจทย์ให้ทําช้างตัวนึงขึ้นมา โดยเน้นให้กลุ่มเป่าหมายจําได้ ไม่อยากอธิบายเยอะ ไปดูเอาขําๆกันดีกว่า ไว้เสก็ตได้เพิ่มก็จะมาลงให้ดูกันเพลินๆ
-------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------
เรื่องคาแร็คเตอร์ส่วนตัวผมว่ามันเป็นเรื่องของเสน่งห์อ่ะครับ ไม่จําเป้นต้องสวยต้องหล่อก็มีคนชอบได้
น่าจะเป็นความรู็สึกบางอย่างจากการได้เสพvisualหรือสิ่งบางอย่างอะไรจากคาแร็คเตอร์ตัวนั้นมากกว่า
12/24/2550
นะโม เริ่มพบแสงสว่างเล็กน้อย ไม่แทงตาจนเกินไป
จากการที่ได้รับคําแนะนําจากอาจารย์ที่เคารพ ก็ทําให้เราเดินกลับมาที่จุดเดิมที่เรามอง มันแค่ด้านvisual จึงทําให้เราเลิกที่จะสนใจอยู่กับมัน แต่พอฟังที่อาจารย์ได้บอกก็ทําให้เราเริ่มที่จะวางแผนการทดลองใหม่
ดูได้จากภาพข้างล่าง โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้
------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็เริ่มทดลองไปเรื่อยๆตามกรอบที่คิดไว้ ซึ่งก็น่าสนใจดี เพราะพบอะไรแปลกๆเหมือนกัน คิดว่าน่าจะมีช่องทางบ้างแล้วหล่ะ เอาเป็นว่าใครสนใจก็กดเข้าไปดูได้ไม่หวงกัน
------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------
นิดนึงสําหรับเรื่องจํานวนหน้า เห็นเพื่อนๆหลายคนค่อนข้างจะสนใจกับตรงนี้กันจัง ส่วนตัวผมไม่เห็นว่ามันจะ
เป็นตัวบ่งชี้อะไรเท่าไร 1หน้าของผม กับของนายผักกาด อาจจะมีความเข้มข้นต่างกันแบบชัดเจนก็ได้
ส่วนตัวผมคิดว่า มันน่าจะเป็นการที่เราได้หมกหมุ่นกับอะไรจนบรรลุอะไรซักอย่างมากกว่า
500แผ่นอาจจะแค่เป็นตัวช่วยให้เราขยับมือทําแค่นั้นเอง (แต่ยังไงก็ตามในเมื่อเป็นข้อกําหนดก็ควรจะทําให้ถึง)
ก็อยากจะบอกกับเพื่อนๆและตัวผมเองว่า เราน่าจะสนใจกับสิ่งที่เราได้จากการทํามากกว่ามานั่งพวงกับ
จํานวนหน้าโดยไม่ใส่คุณภาพลงไป
ดูได้จากภาพข้างล่าง โดยอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้
------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------
จากนั้นก็เริ่มทดลองไปเรื่อยๆตามกรอบที่คิดไว้ ซึ่งก็น่าสนใจดี เพราะพบอะไรแปลกๆเหมือนกัน คิดว่าน่าจะมีช่องทางบ้างแล้วหล่ะ เอาเป็นว่าใครสนใจก็กดเข้าไปดูได้ไม่หวงกัน
------------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------------
นิดนึงสําหรับเรื่องจํานวนหน้า เห็นเพื่อนๆหลายคนค่อนข้างจะสนใจกับตรงนี้กันจัง ส่วนตัวผมไม่เห็นว่ามันจะ
เป็นตัวบ่งชี้อะไรเท่าไร 1หน้าของผม กับของนายผักกาด อาจจะมีความเข้มข้นต่างกันแบบชัดเจนก็ได้
ส่วนตัวผมคิดว่า มันน่าจะเป็นการที่เราได้หมกหมุ่นกับอะไรจนบรรลุอะไรซักอย่างมากกว่า
500แผ่นอาจจะแค่เป็นตัวช่วยให้เราขยับมือทําแค่นั้นเอง (แต่ยังไงก็ตามในเมื่อเป็นข้อกําหนดก็ควรจะทําให้ถึง)
ก็อยากจะบอกกับเพื่อนๆและตัวผมเองว่า เราน่าจะสนใจกับสิ่งที่เราได้จากการทํามากกว่ามานั่งพวงกับ
จํานวนหน้าโดยไม่ใส่คุณภาพลงไป
12/17/2550
การแกะรูปทรงเรขาคณิต สิน่าจะใช่!!
หลังจากที่หลงมั่วเดินเข้าไปโดยดึงเรื่องจินตนาการที่ไม่เกี่ยวข้องมาโยงกับเรขาคณิต แต่สุดท้ายสิ่งที่สนใจจริงๆก็ค่ือเรื่องของเรขาคณิตนั้นแหละ การแกะ form เรขาคณิต
น่าจะใช่หัวเรื่องที่เราเองสนใจ เพราะการแกะมันแล้วเรายังได้อะไรแปลกแปลกใหม่เพิ่มขึ้นมา
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ซักแค่ไหนแล้วงานจบคืออะไร ข้างล่างนี่เป็นรูปของเล่นที่ไปลองทดสอบเล่นมา
คิดว่าน่าจะเข้ากับหัวข้อที่อยากทําพอดีอย่างไม่น่าเชื่อพร้อมกับราคาไม่น่าเชื่อ
-------------------------------------------------------------------------------------------
12/13/2550
ลายจุด
น่าแปลกที่แท้จริงแล้วงานสุมหัวอยู่เต็มประดาแต่ไอ้ตัวเราก็ยังอยากที่จะทําอะไรบางอย่าง เพื่อสนองความอยากรู้อยากทํา ขี้เกียจพิมเยอะช่วงนี้สงสัยแก่แล้ว คอนเซ็ปคือดมเดลไม้ลายจุด ถ้าเพื่อนๆสนใจลองกดไปดูละกัน
http://linejud.blogspot.com/
http://linejud.blogspot.com/
12/10/2550
ฮื่มๆ จินตนาการกับการวาด
ต่อจากตอน “ ฮื่มๆ จินตนาการกับตรรกะของการคลี่คลาย ” จากที่ผมได้ทดลองสร้างเรขาคณิตก็พบว่าวิธีเขียนเรขาคณิตแบบบ้านๆโดยไม่ได้คํานึงอะไรมากนักช่างสอดคล้องกับเรื่องของ
การใช้จินตนาการแบบวิสัยทัศน์อย่างยิ่ง เพราะคนเราไม่สามารถวาดเรขาคณิตได้อย่างแม่นยําเป็นเส้นตรงและทํามุมภายในให้รวมตามเท่าที่กฏกําหนด แต่อย่างไรก็ตามรูปพวกนั้นเราก็เข้าใจกันว่ามันคือเรขาคณิต ดังภาพ
ด้านซ้ายจะเกิดจากการใช้ไม้บรรทัดเขียนแบบเรขาคณิตวาด
ด้านขวาจะวาดเอาสดๆโดยไม่คิดอะไรมาก
จินตนาการคนเราก้เหมือนกันมันอาจจะไม่ได้ตรงตามตรรกะ การที่ความคิดจุดหนึ่งจะไปยังอีกจุดหนึ่ง
อาจจะมีได้หลายทาง แต่อย่างไรก็ตามก็น่าจะได้บทสรุปที่คล้ายกัน
การใช้จินตนาการแบบวิสัยทัศน์อย่างยิ่ง เพราะคนเราไม่สามารถวาดเรขาคณิตได้อย่างแม่นยําเป็นเส้นตรงและทํามุมภายในให้รวมตามเท่าที่กฏกําหนด แต่อย่างไรก็ตามรูปพวกนั้นเราก็เข้าใจกันว่ามันคือเรขาคณิต ดังภาพ
ด้านซ้ายจะเกิดจากการใช้ไม้บรรทัดเขียนแบบเรขาคณิตวาด
ด้านขวาจะวาดเอาสดๆโดยไม่คิดอะไรมาก
จินตนาการคนเราก้เหมือนกันมันอาจจะไม่ได้ตรงตามตรรกะ การที่ความคิดจุดหนึ่งจะไปยังอีกจุดหนึ่ง
อาจจะมีได้หลายทาง แต่อย่างไรก็ตามก็น่าจะได้บทสรุปที่คล้ายกัน
Cake book สมุดน่าเจี๊ย :P (แบบทดลอง)
หลังจากได้รับโจทย์ให้ทําหนังสือเชิงทดลองเกี่ยวกับเนื้อหาที่แต่ละคนได้รับไป ผมก็เลือกที่จะทดลองเกี่ยวกับเรื่อง form ของขนมเค้กที่ไปเกี่ยวข้องกับวันเกิด
โดนจะทําให้ออกมาในรูปแบบเศร้าเล็กน้อย โดยเป้นชิ้นเค้ก1ชิ้นแต่เมื่อกางออกมา
ก็จะพบเค้กก้อนใหญ่หลายหน้า เพื่อตอบโจทย์ของเนื้อเรื้่องที่ว่า "ในคนคนหนึ่งมี
หลายอายุ " ก็เลยใช้หน้าเค้กแทนอายุคนไป เอาเป็นว่าไปดูกันเลยดีกว่า แต่ยังไม่ใช่งานเสร็จนะ
นี่แค่งาน sketch ไว้ถ้าตัวจริงเสร็จแล้วจะเอามาลงอีกที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตรงนี้ลองคิดและวาดฝันก่อน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลองทําจริงไปเลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บางครั้งหากไม่ลองทําจริงก็ไม่อาจจะรู้ปัญหาได้ หัวของเราอาจจะไม่สามารถคิดกับงานงานหนึ่งด้วยมิติ
ที่รอบด้านได้ เพราะฉะนั้นถึงจะเสียเวลาเสียแรงไปหน่อย แต่ก็น่าจะคุ้มค้ากับการได้อาวุธนําร่องเพื่อไปสู่
งานจริง ว่างั้นมะจ๊ะ :P
ฟู่ว!! จินตนาการกับตรรกะของการคลี่คลาย
จากที่อาทิตย์ที่แล้วได้เขียน(แต่ไม่ได้พูด)เกี่ยวกับเรื่องจินตนาการแบบทัศนวิสัยไป อาทิตย์นี้ก็เริ่มมึนๆว่าไอ้ของเก่าที่คิดมันถูกแล้วหรือเปล่า แล้วมันจะนําไปทําอะไรได้ แต่ในเมื่อยังไม่แน่ใจก็ต้องลองต่อไป โดยขอขอบคุณพี่แชมป์สําหรับการแลกเปลี่ยนความคิดที่สนุกสนานพร้อมกับแนะนําเกล็ดเล็กเกล็ดนิดหน่อยสําหรับเรื่องความรัก(ฮ่าๆๆๆ)
คราวนี้เราจะมาเริ่มดูกันที่แผนผังของจินตนาการทั่วไปก่อนว่าเป็นอย่างไร
ต่อไปก็มาทดลองกันว่าหากเรานัาจินตนาการที่เกิดจากเรขาคณิตมาคลี่ออกจะเป้นอย่างไรและได้อะไรบ้าง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถึงจะได้ตรรกะบางอย่างมาก็ตามแต่ก็ยังไม่มีความสามารถพอจะหาของมาลองทําตาม
ตรรกะนี้ได้ คงต้องคิดกันต่อไป ส่วนตอนต่อไปจะเอาที่เสก้ตกับการวาดมือให้ดู
จะเห็นว่าหากคนเราสร้างเรขาคณิตโดยไม่ใช่เครื่องมืออย่างไม้บรรทัดหรือคอมพิวเตอร์มาช่วย
แทบจะสร้างเรขาคณิตแบบแท้จริงไม่ได้เลยจะเป็นไงก็ติดตตามชมกันละกัน
12/09/2550
100 mutation ขบวนการกลายพันธุ์
จากวิชาคอมพิวเตอร์อารต์ก้มีการให้โจทย์เกี่ยวกับ การทําให้งานศิลปะไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนภาพนอก จึงทําให้เราคิดโปรดเจคนี้ขึ้นมา โดยทําโมเดลจากเทียน แล้วนําไว้วางไว้ตามที่ต่างๆของมหาลัย จากนั้นเมื่อคนเก็บได้ก็จะอ่านคู่มือแนะนําการกลายพันธ์ุ และหลังกจากนั้นก็จะถ่ายภาพหลังจากที่
ทํารูปลักษณ์ใหม่ให้กับโมเดลของเรา ใครสนใจดูลายละเอียดได้ที่
http://100mutations.blogspot.com/
12/02/2550
โว้ว เย่!! ตะลุยแดนจินตนาการกับเรขาคณิต ภาค จุดกําเนิด
หากเรานําเรขาคณิตมาคิดวิเคราะห์การสร้างก็จะเห็นได้ถึงระบบบางอย่างในตัวเรขาคณิต
และจุดนั้นเราสามารถมาเชื่อมโยงกับเรื่องของจินตนาการได้อย่างลงตัว เคยสงสัยไหมว่าทําไมเวลาคนเราสร้างรูปเรขาคณิต การลากเส้นจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเราถึงเลือกที่จะลากเป็นเส้นตรงไปโดยที่ไม่โค้งหรือเปลี่ยนอะไรดู นั้นเป็นเพราะเรามีจิตนาการแบบวิสัยทัศน์ซึ่งอาจจะเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ของเรา
โดยผมจะไล่วิเคราะห์
จากรูปทรงที่มีความซับซ้อนจากน้อยไปมาก โดยรูปแรกที่เราจะมาดูกันก็คือ
รูปสามเหลี่ยม ถ้าเราลองสมมุติว่าจุด a คือ เรื่องเรื่องหนึ่ง จุด b คือเรื่องที่วิสัยทัศน์ของเราจะจินตนาการไปได้ถึงโดยเป็นเรื่องที่สามารถเชื่อมโยงกับจุด a ได้โดยทีไม่เกินจริง และจุด c ก็คือจุดที่จะสามารถเชื่อโยงกับจุด B โดยที่เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงเช่นกัน และจุด a ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เชือมโยงมาจากจุด c จะเห็นได้ว่ามีความน่าจะเป็นในเรื่องของจินตนาการเกิดขึ้นในงานจะประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของเรา
จุดที่น่าคิดอีกจุดก็คือกรณีที่ไม่สมเหตุสมผลของรูป3เหลี่ยมซึ่งก็คือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม
มุม a ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน cb ได้
มุม b ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน ac ได้
มุม c ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน ab ได้
ก็จะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องของวิสัยทัศน์เองก็มีข้อจํากัดบางประการอยู่
ผมจะลองยกตัวอย่างจะเห็นเห็นภาพกันง่ายๆ
เราแทน A ด้วย การจับมือ แทน B ด้วยการเมินหน้าหนี แทน C ด้วยการชกต่อย
ลองมาคิดดูว่าเส้น ab น่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรที่วิสัยทัศน์เราบอกว่าเป็นใน
เชิงลบ ส่วน ac ก้น่าจะเป็นในเชิงลบที่รุงแรงกว่า ส่วน ac อาจจะเป็นเรื่องของมิตรภาพ
ต่อมาเราลองมาดูที่สี่เหลี่ยม จริงๆแล้วมีความคล้ายคลึงกันมากแต่อาจจะมากกว่าเท่านั้นเอง
ดูตามภาพแล้วใช้หลักการจากสามเหลี่ยมก็น่าจะเข้าใจ
ส่วนวงกลมอันนี้ค่อนข้างจะแปลกกว่าเพื่อนหน่อย การเราตีเป็น 1องศาต่อหนึ่งเหตุการณ์
ก็จะมี 360 เหตุการณ์ในวงกลมที่เชื่อมโยงกันบางอย่างเลยทีเดียว
จุด a เป็นจุดเริ่มต้น และจะแตกเส้นเป็นรัศมีกระจายรอบวงกลมโดยจํานวนของเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงตามค่าขององศาของมุมในวงกลม โดยมีเส้น c เป็นเส้นของจินตนาการแบบวิสัยทัศน์
และมี B เป็นเหตุการณ์ที่จะเชื่อมโยงกันในลักษณะของเส้นโค้ง ซึ่งก็น่าสนใจไปอีกแบบ
ตอนนี้คิดไว้แค่นี้ถ้าใครอยากจะแนะนําอะไรคอมเม้นต์ไว้จะเป็นพระคุณอย่างสูง
และจุดนั้นเราสามารถมาเชื่อมโยงกับเรื่องของจินตนาการได้อย่างลงตัว เคยสงสัยไหมว่าทําไมเวลาคนเราสร้างรูปเรขาคณิต การลากเส้นจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเราถึงเลือกที่จะลากเป็นเส้นตรงไปโดยที่ไม่โค้งหรือเปลี่ยนอะไรดู นั้นเป็นเพราะเรามีจิตนาการแบบวิสัยทัศน์ซึ่งอาจจะเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ของเรา
โดยผมจะไล่วิเคราะห์
จากรูปทรงที่มีความซับซ้อนจากน้อยไปมาก โดยรูปแรกที่เราจะมาดูกันก็คือ
รูปสามเหลี่ยม ถ้าเราลองสมมุติว่าจุด a คือ เรื่องเรื่องหนึ่ง จุด b คือเรื่องที่วิสัยทัศน์ของเราจะจินตนาการไปได้ถึงโดยเป็นเรื่องที่สามารถเชื่อมโยงกับจุด a ได้โดยทีไม่เกินจริง และจุด c ก็คือจุดที่จะสามารถเชื่อโยงกับจุด B โดยที่เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงเช่นกัน และจุด a ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เชือมโยงมาจากจุด c จะเห็นได้ว่ามีความน่าจะเป็นในเรื่องของจินตนาการเกิดขึ้นในงานจะประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของเรา
จุดที่น่าคิดอีกจุดก็คือกรณีที่ไม่สมเหตุสมผลของรูป3เหลี่ยมซึ่งก็คือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม
มุม a ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน cb ได้
มุม b ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน ac ได้
มุม c ไม่สามารถจะเชื่อมโยงกับ ด้าน ab ได้
ก็จะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องของวิสัยทัศน์เองก็มีข้อจํากัดบางประการอยู่
ผมจะลองยกตัวอย่างจะเห็นเห็นภาพกันง่ายๆ
เราแทน A ด้วย การจับมือ แทน B ด้วยการเมินหน้าหนี แทน C ด้วยการชกต่อย
ลองมาคิดดูว่าเส้น ab น่าจะเป็นเหตุการณ์อะไรที่วิสัยทัศน์เราบอกว่าเป็นใน
เชิงลบ ส่วน ac ก้น่าจะเป็นในเชิงลบที่รุงแรงกว่า ส่วน ac อาจจะเป็นเรื่องของมิตรภาพ
ต่อมาเราลองมาดูที่สี่เหลี่ยม จริงๆแล้วมีความคล้ายคลึงกันมากแต่อาจจะมากกว่าเท่านั้นเอง
ดูตามภาพแล้วใช้หลักการจากสามเหลี่ยมก็น่าจะเข้าใจ
ส่วนวงกลมอันนี้ค่อนข้างจะแปลกกว่าเพื่อนหน่อย การเราตีเป็น 1องศาต่อหนึ่งเหตุการณ์
ก็จะมี 360 เหตุการณ์ในวงกลมที่เชื่อมโยงกันบางอย่างเลยทีเดียว
จุด a เป็นจุดเริ่มต้น และจะแตกเส้นเป็นรัศมีกระจายรอบวงกลมโดยจํานวนของเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงตามค่าขององศาของมุมในวงกลม โดยมีเส้น c เป็นเส้นของจินตนาการแบบวิสัยทัศน์
และมี B เป็นเหตุการณ์ที่จะเชื่อมโยงกันในลักษณะของเส้นโค้ง ซึ่งก็น่าสนใจไปอีกแบบ
ตอนนี้คิดไว้แค่นี้ถ้าใครอยากจะแนะนําอะไรคอมเม้นต์ไว้จะเป็นพระคุณอย่างสูง
โว้ว เย่!! ตะลุยแดนจินตนาการกับเรขาคณิต ภาค จุดกําเนิด
หลังจากจ้องมองครอบครัวเรขาคณิตจนพวกเขาเริ่มเขินอายกับผม ผมก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวนี้ได้ ผมพยายามหาจุดเชื่อโยงและจุดต่างของเรขาคณิตพื้นฐาน
(3เหลี่ยม 4เหลี่ยม วงกลม)พื้นที่ของเรขาคณิตไม่อาจจะนํามาคิดได้โดยง่ายเนื้อจากตัวแปรนั้นไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีใครกําหนดว่ารูปทรงนี้จําเป็นต้องมีพื้นที่เท่าไร หรือความกว้าง
และความยาวก็ออกมาในทํานองเดียวกันแต่สิ่งหนึ่งที่มีการจําหนดอย่างตายตัวก็คือ มุม และองศารวมของรูปเรขาคณิตพื้นฐานพอได้ดังนั้นแล้วก็มาเริ่มดูว่าเราจะได้อะไรจากมันบ้าง
จะเห็นได้ว่ารูปทรง หรือขนาด แทบจะไม่มีอะไรตายตัวเพียงแต่ให้อยู่ในข้อกําหนดของจํานวนมุมและองศารวมภายใน อาจพูดได้ว่าเรขาคณิตนั้นเกี่ยวข้องกับมุมจนแทบแยกจากกัน
ไม่ได้ดังนั้นเราก็จะมาเริ่มศึกษาที่หน่วยที่เล็กที่สุดนั้นก็คือจุด การที่เราจะสร้างเรขาคณิตพื้นฐานขึ้นมาได้นั้นเราอาจจะเริ่มพิจารณาจากโคงสร้างแรกก็คือจุด จุดน่าจะขึ้นอยู่กับแต่ละรูปทรงดังนี้
รูป 3 เหลี่ยม ประกอบด้วยจุด 3 จุด ที่มีเส้นตรง 3 เส้น ลากผ่านประกอบเป็น3เหลี่ยม
รูป 4 เหลี่ยม ประกอบด้วยจุด 4 จุด ที่มีเส้นตรง 4 เส้น ลากผ่านประกอบเป็น4เหลี่ยม
รูปวงกลม ประกอบด้วยจุดศูนย์กลาง 1 จุดและมีเส้นจํานวนมากลากผ่านจนกลายเป็นวงกลม
น่าแปลกใจที่ทําไมคนเราจึงต้องลากแต่เส้นตรงผ่านจุดเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วเราสามารถทําให้มันโค้งมนหรือเส้นในที่ลักษณะบิดเบี้ยวจากเส้นตรงได้
ซึ่งตรงจุดนี้น่าจะเชื่อมโยงได้กับเรื่องจินตนาการของคน จินตนาการมีอยู่หลายแบบ ดังนี้
1.จินตนาการแบบเพ้อฝัน เป็นจินตนาการที่เกินจริงเกิดขึ้นได้ยาก เช่น มนุษย์สามารบินได้เหมือนเครื่องบินf16
2.จินตนาการวิสัยทัศน์ เป็นจินตนาการที่เกิดจากนําเหตถผลหรือจุดเชื่อมโยงมาประกอบเป็นเรื่องราว เช่น ผู้นํามองไปข้างหน้าแล้วเห็นการกินดีอยู่ดีของประชาชนซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือเวลาที่เรามองรถเมล์และเราเห็นรูปโฆษณาตรงข้างรถเมล์ หากเรานํามันมาประติดประต่อกันด้วยประสบการณ์ของเรา เราก็สามารถสร้างเรื่องราวจากทัศนวิสัยของเราได้ตัวอย่างเช่น เราเห็นภาพดังนี้บนรถเมล์ผู้หญิง ผู้ชาย รูปอมรูปหัวใจเราอาจจะเชื่อมโยงได้ว่า ผู้หญิงกับผู้ชายรักกัน
3.จินตนาการแบบตรรกะ เช่นเวลาเราเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาษาต่างๆเราก็จะสามารถจินตาการได้ถึงภาพและหน้าตาที่โปรแกรมจะแสดงออกมาได้
ถ้าเรานําเรื่องจินตาการมาเชื่อโยงกับการสร้างเรขาคณิต จุดก็น่าจะเป็นตัวเริ่มต้นไปสู่จินตนาการต่างๆ ได้ โดยเพื่อนๆสามรถติดตามการวิเคราะห์เจาะลึกได้ในตอนต่อไป
เล็ต-ทอคล์-อะ-เบาวน์ บริบทกับการรับรู้
การตีลังการคิด โดยนําหัวจิ้มลง ณ ปลายเตียงแล้วนํา เท้านั่งท่าขัดสมาธิเพชรไมไ่ด้ช่วยให้ผมคิดอะไรออกมาได้เพิ่มเติมจากครั้งที่แล้ว นับเป็นบุญที่วันอังคารที่จะถึงนี้มีการสัมนาทางการออกแบบซึ่ง นั่นเป็นสาเหตุทําให้ผมต้องไปคุยกับพี่แชมป์ซึ่งได้รับคะแนนโหวตอย่างล้นหลามให้เป็นพิธีกรคู่กับน้องอีกซักคน เพื่อคอยชงคําถามอุ่นๆให้กับวิทยากร หลังจากที่เราถกเถียงเขียงหมูเรื่องหัวข้อที่ถูกเหล่าสมาชิกในห้องที่ใช้โปรแกรม msn คุยกัน (รอบ2) เราก็ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับหัวข้อจํานวนหนึ่ง พร้อมทั้งคําถามบางอย่างที่พวกเราช่วยกันคิดก็คิดไม่ออกและก็ไม่รู้จะมีคําตอบไหม (สนุกแน่)
จากนั้นพี่แชมป์ก็กล่าวกับผมว่า “ เนทเมิงตันใช่ไหม ? “ ผมก็พยักหน้างึกๆแบบลูกไก่ที่เพิ่งกะเทาะเปลือกออกมา จากนั้นเราก็เลยถกเถียงหันเรื่องหัวข้อของแต่ละคน โดยมี ผม พี่แชมป์ที่เคารพ และไอ้เติกร์ น่าแปลกที่เราคุยกันนานมากจนห้องสมุดจะปิดโดยที่รู้สึกโครตมันส์เลย มีบางอย่างที่ตลกก็คือ พออีกสองคนคิดเรื่องของคิดคนมักจะมีไอเดียที่ไหลลื่นกว่า เช่น ถ้าผมกับไอ้เติกริ์คิดเรื่อง folder ของพี่แชมป ์สมองจะขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงและ มีคําพูดมากมายหลั่งไหลออกมาโดยไม่ค่อยมีการหยุดจังหว่ะนานๆให้เห็นซักเท่าไร ก็น่าแปลกดี
เอาหล่ะมาเข้าเรื่องซักที เวลาที่เพื่อนๆเห็นสิ่งรอบตัวเคยสงสัยบ้างไหมว่า เรามองมันในแง่ไหน
ในวิชาปรัชญา John Loow กล่าวไว้ว่า (กรุณานึกท่า การนํามือสองมือขึ้นมาแล้วชูนิ่วกลางกับนิ้วชี้ พร้อมทั้งขยับขึ้นลงสองครั้ง ) คุณสมบัติของสิ่งของแต่ละสิ่งประกอบด้วย ปฐมภูมิ คือ คุณสมบัติที่ติดมากับสิ่งนั้นๆตั้งแต่แรก เช่น รูปร่าง การกินที่ ทุติยภูมิ คือ คุณสมบัติที่เกิดจากการรับรู้ของคนที่ไปพบเห็นสิ่งสิ่งนั้น เช่น กลิ่น เสียง
เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่า ทําไมเราถึงมองไฟจราจรเป็นไฟจราจร ทําไมเราไม่มองมันเป็นวงกลม
หรือทําไมเราไม่มองเค้กเป็นสามเหลี่ยม นั้นก็เพราะว่าเรามีการเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าสิ่งสิ่งนั้น มีหน้าที่อะไรและเรามองมันในแง่อื่นที่ไม่ใช่เรื่องของ form การได้รับความรู้น่าจะเกิดจาก
ประสบการณ์และเหตุผล
การที่ประสาทสัมผัสของเรารับอะไรเข้ามาและผ่านเหตุผล12หมวดในสมอง จากนั้นจึงกลั่นมันออกมาในรูปแบบของ Phenomena (สภาพของความเป็นจริงที่ปรากฏ) และนํา สภาพความเป็นจริงมาคิดวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์ออกมาเป็น Nuumena (ความจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์) ซึ่งทําให้เรารู้และเข้าใจสิ่งสิ่งหนึ่งมากกว่าแค่เรื่องของ form ถ้าเพื่อนๆสนใจ
ลองทดสอบจิตํานึกตัวเองง่ายๆด้วยการหาสิ่งของที่มีform ของเรขาคณิตชัดเจน และนํามาถามกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วเรามองมันจากอะไร จะสนุกยิ่งขึ้นหากเพื่อนๆมีการเดินทางและนําเรื่องนี้คิดไปตลอดทางก็จะพบว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันมีอยู่เต็มรอบตัวไปหมด
จากนั้นพี่แชมป์ก็กล่าวกับผมว่า “ เนทเมิงตันใช่ไหม ? “ ผมก็พยักหน้างึกๆแบบลูกไก่ที่เพิ่งกะเทาะเปลือกออกมา จากนั้นเราก็เลยถกเถียงหันเรื่องหัวข้อของแต่ละคน โดยมี ผม พี่แชมป์ที่เคารพ และไอ้เติกร์ น่าแปลกที่เราคุยกันนานมากจนห้องสมุดจะปิดโดยที่รู้สึกโครตมันส์เลย มีบางอย่างที่ตลกก็คือ พออีกสองคนคิดเรื่องของคิดคนมักจะมีไอเดียที่ไหลลื่นกว่า เช่น ถ้าผมกับไอ้เติกริ์คิดเรื่อง folder ของพี่แชมป ์สมองจะขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วสูงและ มีคําพูดมากมายหลั่งไหลออกมาโดยไม่ค่อยมีการหยุดจังหว่ะนานๆให้เห็นซักเท่าไร ก็น่าแปลกดี
เอาหล่ะมาเข้าเรื่องซักที เวลาที่เพื่อนๆเห็นสิ่งรอบตัวเคยสงสัยบ้างไหมว่า เรามองมันในแง่ไหน
ในวิชาปรัชญา John Loow กล่าวไว้ว่า (กรุณานึกท่า การนํามือสองมือขึ้นมาแล้วชูนิ่วกลางกับนิ้วชี้ พร้อมทั้งขยับขึ้นลงสองครั้ง ) คุณสมบัติของสิ่งของแต่ละสิ่งประกอบด้วย ปฐมภูมิ คือ คุณสมบัติที่ติดมากับสิ่งนั้นๆตั้งแต่แรก เช่น รูปร่าง การกินที่ ทุติยภูมิ คือ คุณสมบัติที่เกิดจากการรับรู้ของคนที่ไปพบเห็นสิ่งสิ่งนั้น เช่น กลิ่น เสียง
เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่า ทําไมเราถึงมองไฟจราจรเป็นไฟจราจร ทําไมเราไม่มองมันเป็นวงกลม
หรือทําไมเราไม่มองเค้กเป็นสามเหลี่ยม นั้นก็เพราะว่าเรามีการเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าสิ่งสิ่งนั้น มีหน้าที่อะไรและเรามองมันในแง่อื่นที่ไม่ใช่เรื่องของ form การได้รับความรู้น่าจะเกิดจาก
ประสบการณ์และเหตุผล
การที่ประสาทสัมผัสของเรารับอะไรเข้ามาและผ่านเหตุผล12หมวดในสมอง จากนั้นจึงกลั่นมันออกมาในรูปแบบของ Phenomena (สภาพของความเป็นจริงที่ปรากฏ) และนํา สภาพความเป็นจริงมาคิดวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์ออกมาเป็น Nuumena (ความจริงเบื้องหลังปรากฏการณ์) ซึ่งทําให้เรารู้และเข้าใจสิ่งสิ่งหนึ่งมากกว่าแค่เรื่องของ form ถ้าเพื่อนๆสนใจ
ลองทดสอบจิตํานึกตัวเองง่ายๆด้วยการหาสิ่งของที่มีform ของเรขาคณิตชัดเจน และนํามาถามกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วเรามองมันจากอะไร จะสนุกยิ่งขึ้นหากเพื่อนๆมีการเดินทางและนําเรื่องนี้คิดไปตลอดทางก็จะพบว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้มันมีอยู่เต็มรอบตัวไปหมด
11/25/2550
จู่โจม,ทําลาย และเปิดศึกเต็มรูปแบบกับความหมายของขัน
อันนี้เป้นงานของวิชา computer art โดยเป็นงานกลุ่ม4คน(ผม ฟานเชสโก้ สะเดา ไอ้ไหว่)
โดยโจทย์ที่เราได้รับคือ Deconstruction การทําลายของบางสิ่งบางอย่างและนํามารวมให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งสนุกชิบแชบเลยหล่ะ :)
โดยมีขั้นตอนการทํางานคร่าวๆดังนี้
1. ทำความเข้าใจกับโจทย์ วิเคราะห์และหาความเป็นไปได้
โดยมีรายชื่อสิ่งที่คิดจะทำดังนี้
- เนื้อเรื่อง - หลังจากลองทําไปนิดนึงก็พบสิ่งที่น่าสนใจที่พร้อมจะทําการเชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่างได้
- ภาพยนตร์ - คิดกันว่าคนน่าจะทำเยอะแล้วเลยตัดทิ้ง
- MV - เหตุผลเช่นเดียวกัยภาพยนตร์
- เสื้อผ้า - ลองทำไปแล้วแต่ไม่น่าสนใจเลย (อาจารย์ก็เห็นด้วยว่าอย่าเลย)
- รูป - ในกลุ่มไม่สนใจจะทำ (ส่ายหน้าเหมือนเจอโจทย์แคลคูลัส)
- สัตว์ - ตอนแรกคิดว่าเจ๋งมาก แต่คิดๆดูอีกทีก็พบว่ามีคนทำแล้ว เช่น คิเมร่า
- ต้นไม้ - จริงๆน่าสนใจ แต่พอดีความเห็นไม่ตรงกันรวมทั้งคิดว่าระยะเวลาในการทําไม่น่าจะพอเลยตัดทิ้งไป
2. เลือกหัวข้อที่สนใจมากที่สุด
โดยกลุ่มตัดสินใจกันว่าจะเลือกทําเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
หลังจากนั้นเริ่มระดมความคิดเพื่อหาคำที่น่าสนใจโดยโจทย์อยู่ที่การหาคำที่มี
ความหมาย(พ้องรูป)หลายๆแบบ ดังนี้
- คน - ขัน - หมู
- สี - ดาว - เป้า
- ตา - ไก่ - โจ๊ก
- เสีย - หลัง - ชา
- มัน
จากนั้นเลือกสองคำที่สนใจมาทดลอง โดบหาบทความในความหมายต่างๆ
มาตัดและลองต่อให้เกิดเรื่องที่น่าสนใจ เพื่อสร้างความแปลกใหม่
และนำไปสู่ประเด็นทางการออกแบบ โดยใช้คำว่า "ขัน"และ"มัน"
มาทำการทดลอง ปรากฏว่าคำว่า "ขัน" มีความน่าสนใจกว่า
จึงได้นำมาพัฒนาต่อ
3. พัฒนาเนื้อเรื่องให้น่าสนใจ
ขั้นแรก แยกความหมายออกเป็น 5 แบบ ตามโจทย์
- ขันตักน้ำ
- ไก่ขัน
- นกเขาไม่ขัน
- ขบขัน
- ขันน๊อต
และนำบทความมาตัดและต่อในรูปแบบต่างๆจน
ได้เนื้อความที่น่าสนใจ ดังนี้
คัดประโยคต่างๆที่สนใจออกมา
- พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันน้ำพระพุทธมนต์
- ควรใช้ขันตักอาบหรือใช้ฝักและในขณะทำการฟอกสบู่ควรปิดก๊อกน้ำไว้ก่อน
- ไม่นานเสียงไก่ขันก็รับกันเป็นทอดๆ
- ไก่ตัวนี้รู้จักเวลาขันมากที่จะพูดว่า "ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ตาม"
ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกจนเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ
- ฝันว่าได้จับขันตักน้ำหรือเอาขันตักน้ำราดอาบตนเอง ทายว่าจะหมดเคราะห์
- ภาวะนกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนพบเพียงร้อยละ5ของทั้งหมด
- ภาวะนกเขาไม่ขันเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะที่จริงแล้วการที่ผู้ชายจะเกิดภาวะเช่นนี้
ส่วนใหญ่มักจะมีโรคที่เป็นต้นเหตุแอบซ่อนอยู่
- ท่ายควรขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่ขนาดของประแจประจำรถของท่ายจะถอดได้
- ทีนี้ก็มาขันน้อตแกนเพลากับดุมล้อแล้วครับ โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้
แล้วขันน้อตล้อเพลากับดุมล้อให้แน่นเลยครับ
- เป็นสิ่งที่น่าขบขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น
นําประโยคต่างๆที่สนใจมาประกอบเข้าด้วยกันดังนี้ (ตัวหนาส้ม)
เรื่องที่น่าขัน น่าที่จะพูดว่าขันน้ำลายขุดใบนี้ ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันตักน้ำราดอาบตนเอง พระเกจิอาจารย์สมัย
ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะที่เขาเห็น
เด้กหญิงคนนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมฝั่ง "เธอร้องให้ทำไมหรือ?"
ชาลีถาม "ขันน้ำของฉันหาย" เด็กหญิงตอบ "ญาติเป็นคนให้
ขันน้ำรูปครึ่งวงกลมและกรวยกรอกน้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางของ
ปากขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือรักจึงเป็นสีดำ
นกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากไก่ขันยามตัวหนึ่ง
ไก่ตัวนี้ไม่รู้จักเวลาขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น
เพราะที่จริงแล้วกินรักษานกเขาไม่ขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่
ขนาดของประแจประจำรถของท่านจะถอดได้
แต่ก็มีสิ่งที่น่าขบขันตักอาบน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะทำการฟอกสบู่
พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำราดอาบตนเอง
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันน๊อตแกนเพลากับคุมล้อ
โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้แล้วขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือฮักจึงเป็นสีดำ
จากนั้นก็นําบทความที่ได้ไปเชื่อมโยงกับสื่ออื่น
เพิ่มเพิ่มความน่าสนใจ และนําไปสู่งานสําเร็จ
โดยจะเห็นได้ว่าช่วงแรกๆคําและประโยคต่างๆ จะนําเข้าไปรวมกับความหมายของขัน
โดยมีนัยว่าประโยคพวกนี้ไม่ได้ทําให้ความหมายของคําว่าขันเปลี่ยนแปลงไป
แต่พอไปถึงช่วงหลังเราก็จะนําประโยคที่แต่งไว้อย่างสับสนมาจัดวางแบบสุ่ม
เพื่อบดบังกับความเป็นขัน โดยโจทย์ของเราก็คือทําลายความเป็นขันด้วย
ความหมายที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างสับสน
และข้างล่างนี่คือตัวงานใครสนใจเมล์มาถามได้เน้อ
โดยโจทย์ที่เราได้รับคือ Deconstruction การทําลายของบางสิ่งบางอย่างและนํามารวมให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งสนุกชิบแชบเลยหล่ะ :)
โดยมีขั้นตอนการทํางานคร่าวๆดังนี้
1. ทำความเข้าใจกับโจทย์ วิเคราะห์และหาความเป็นไปได้
โดยมีรายชื่อสิ่งที่คิดจะทำดังนี้
- เนื้อเรื่อง - หลังจากลองทําไปนิดนึงก็พบสิ่งที่น่าสนใจที่พร้อมจะทําการเชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่างได้
- ภาพยนตร์ - คิดกันว่าคนน่าจะทำเยอะแล้วเลยตัดทิ้ง
- MV - เหตุผลเช่นเดียวกัยภาพยนตร์
- เสื้อผ้า - ลองทำไปแล้วแต่ไม่น่าสนใจเลย (อาจารย์ก็เห็นด้วยว่าอย่าเลย)
- รูป - ในกลุ่มไม่สนใจจะทำ (ส่ายหน้าเหมือนเจอโจทย์แคลคูลัส)
- สัตว์ - ตอนแรกคิดว่าเจ๋งมาก แต่คิดๆดูอีกทีก็พบว่ามีคนทำแล้ว เช่น คิเมร่า
- ต้นไม้ - จริงๆน่าสนใจ แต่พอดีความเห็นไม่ตรงกันรวมทั้งคิดว่าระยะเวลาในการทําไม่น่าจะพอเลยตัดทิ้งไป
2. เลือกหัวข้อที่สนใจมากที่สุด
โดยกลุ่มตัดสินใจกันว่าจะเลือกทําเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
หลังจากนั้นเริ่มระดมความคิดเพื่อหาคำที่น่าสนใจโดยโจทย์อยู่ที่การหาคำที่มี
ความหมาย(พ้องรูป)หลายๆแบบ ดังนี้
- คน - ขัน - หมู
- สี - ดาว - เป้า
- ตา - ไก่ - โจ๊ก
- เสีย - หลัง - ชา
- มัน
จากนั้นเลือกสองคำที่สนใจมาทดลอง โดบหาบทความในความหมายต่างๆ
มาตัดและลองต่อให้เกิดเรื่องที่น่าสนใจ เพื่อสร้างความแปลกใหม่
และนำไปสู่ประเด็นทางการออกแบบ โดยใช้คำว่า "ขัน"และ"มัน"
มาทำการทดลอง ปรากฏว่าคำว่า "ขัน" มีความน่าสนใจกว่า
จึงได้นำมาพัฒนาต่อ
3. พัฒนาเนื้อเรื่องให้น่าสนใจ
ขั้นแรก แยกความหมายออกเป็น 5 แบบ ตามโจทย์
- ขันตักน้ำ
- ไก่ขัน
- นกเขาไม่ขัน
- ขบขัน
- ขันน๊อต
และนำบทความมาตัดและต่อในรูปแบบต่างๆจน
ได้เนื้อความที่น่าสนใจ ดังนี้
คัดประโยคต่างๆที่สนใจออกมา
- พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันน้ำพระพุทธมนต์
- ควรใช้ขันตักอาบหรือใช้ฝักและในขณะทำการฟอกสบู่ควรปิดก๊อกน้ำไว้ก่อน
- ไม่นานเสียงไก่ขันก็รับกันเป็นทอดๆ
- ไก่ตัวนี้รู้จักเวลาขันมากที่จะพูดว่า "ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ตาม"
ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกจนเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ
- ฝันว่าได้จับขันตักน้ำหรือเอาขันตักน้ำราดอาบตนเอง ทายว่าจะหมดเคราะห์
- ภาวะนกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนพบเพียงร้อยละ5ของทั้งหมด
- ภาวะนกเขาไม่ขันเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะที่จริงแล้วการที่ผู้ชายจะเกิดภาวะเช่นนี้
ส่วนใหญ่มักจะมีโรคที่เป็นต้นเหตุแอบซ่อนอยู่
- ท่ายควรขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่ขนาดของประแจประจำรถของท่ายจะถอดได้
- ทีนี้ก็มาขันน้อตแกนเพลากับดุมล้อแล้วครับ โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้
แล้วขันน้อตล้อเพลากับดุมล้อให้แน่นเลยครับ
- เป็นสิ่งที่น่าขบขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น
นําประโยคต่างๆที่สนใจมาประกอบเข้าด้วยกันดังนี้ (ตัวหนาส้ม)
เรื่องที่น่าขัน น่าที่จะพูดว่าขันน้ำลายขุดใบนี้ ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันตักน้ำราดอาบตนเอง พระเกจิอาจารย์สมัย
ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะที่เขาเห็น
เด้กหญิงคนนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมฝั่ง "เธอร้องให้ทำไมหรือ?"
ชาลีถาม "ขันน้ำของฉันหาย" เด็กหญิงตอบ "ญาติเป็นคนให้
ขันน้ำรูปครึ่งวงกลมและกรวยกรอกน้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางของ
ปากขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือรักจึงเป็นสีดำ
นกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากไก่ขันยามตัวหนึ่ง
ไก่ตัวนี้ไม่รู้จักเวลาขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น
เพราะที่จริงแล้วกินรักษานกเขาไม่ขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่
ขนาดของประแจประจำรถของท่านจะถอดได้
แต่ก็มีสิ่งที่น่าขบขันตักอาบน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะทำการฟอกสบู่
พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำราดอาบตนเอง
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันน๊อตแกนเพลากับคุมล้อ
โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้แล้วขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือฮักจึงเป็นสีดำ
จากนั้นก็นําบทความที่ได้ไปเชื่อมโยงกับสื่ออื่น
เพิ่มเพิ่มความน่าสนใจ และนําไปสู่งานสําเร็จ
โดยจะเห็นได้ว่าช่วงแรกๆคําและประโยคต่างๆ จะนําเข้าไปรวมกับความหมายของขัน
โดยมีนัยว่าประโยคพวกนี้ไม่ได้ทําให้ความหมายของคําว่าขันเปลี่ยนแปลงไป
แต่พอไปถึงช่วงหลังเราก็จะนําประโยคที่แต่งไว้อย่างสับสนมาจัดวางแบบสุ่ม
เพื่อบดบังกับความเป็นขัน โดยโจทย์ของเราก็คือทําลายความเป็นขันด้วย
ความหมายที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างสับสน
และข้างล่างนี่คือตัวงานใครสนใจเมล์มาถามได้เน้อ
ประเด็นที่น่าสนใจและน่าเอาใจใส่ดูแลของเรขาคณิต
หลังจากที่ได้ศึกษาและสนใจเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิต ก็เลยเดินไปที่ห้องสมุดดูเพื่อหาข้อมูลที่น่าสนใจ มาเติมในสมอง
น้อยๆอันนี้ ก็เลยเจอหนังสือเรขาคณิตที่เกี่ยวข้องกับทางคณิตศาสตร์(ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดอย่างจริงแท้)
และก็เจอหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของเบาเฮ้าส์อีกเล่ม ซึ่งพอมาเปิดดูรูป และอ่านตรงที่สามารถอ่านได้โดย
ไม่ต้องไปเบียดเบียน พจนาณุกรมภาษาอังกฤษก็ เจอสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเมื่อมารวมกับสิ่งที่เราสงสัย
และ ตะขิดตะขวงใจก็น่าจะพอทําอะไรได้บ้าง สําหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านตอนก้าวสู่สังเวียนแนะนําให้ไปอ่านก่อน
ก็จะพบว่า เรขาคณิตมีแบบแผนและนํามาย่อยใช้ได้ ง่ายกว่ารูปทรงที่ไม่มีแบบแผน
แต่สําหรับด้านความสวยงามและความแปลกใหม่นั้นหลายๆคนกลับมองมันว่าน่าเบื่อ ผมจึงคิดว่า
เออ..ถ้าเรานํารูปทรงเหล่านี้มาทําให้น่าสนใจหล่ะ
โดยที่มันยังคงเรื่องการสื่อสารที่ชัดเจนไว้ ก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง
จากภาพข้างบนจะเห็นได้ว่าเราสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าในภาพต่อๆไปจะเกิดอะไรขึ้นนั้นเพราะเรขาคณิตเป็นสิ่งที่เราเคย
เรียนรู้มาก่อนเมื่อวัยเยาว์และมันก็มีแบบแผนที่ชัดเจนยิ่งกว่าสัญญาณgsmซะอีก
หรือภาพนี้ใช้ทฤษฎีของปิทากอรัสก็สามารถสร้างภาพเรขาคณิตที่มีความซับซ้อนและมีเหตุผลทางทฤษฎีมารองรับอีกด้วย
ซึ่งน่าสนใจมากที่เดียวกระเทียมเจียวเลยแหละ นอกจากนั้นภาพที่ได้มายังมีการทับซ้อนโดยไม่ถมสีลงไปเหมือนกับการโชว์วัสดุในการทํา
ถ้าเป็นงานสถาปานิกก็เหมือนกับงานปูนเปือยในสมัยนี้นั้นเอง ที่เน้นการโชว์โครงสร้างโดยไม่ปิดบัง
ภาพนี้เป็นทฤษฎีการสะท้อนของเรขาคณิตโดยที่ภาพในกระจกและข้างนอกจะมีการขนานและตั้งฉากกัน
และยังสามารถสร้างภาพที่สวยงามได้อีกด้วยแฮะ
การสร้างเรขาคณิตอาจจะไม่ได้จํากัดด้วยวิธีเขียนหรือสร้างดังนั้นหากนําวิธีที่น่าสนใจมาใช้ในการทํางานกับมัน
ก็น่าจะทําให้เกิดความน่าสนใจได้อีกด้วย อย่างข้างบนนี่ก็จะเป็นวิธีใช้การเจาะกระดาษในการสร้างรูปทรง
ภาพด้านบนยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนําสิ่งที่สมัยก่อนว่ากันว่าสวยงามจําพวกของย้วยๆแนวๆ artdeco
กับสิ่งที่นักออกแบบรุ่นใหญ่สมัยนี้เห้นว่ามันสมบูรณ์แบบ เช่น Helvetica ถ้านําสองสิ่งจากทั้งสอง
สมัยมารวมกันก็น่าจะทําให้เกิดความขัดแย้งแบบแปลกๆขึ้นมา
อย่างป้ายจราจรที่ถือว่าเน้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลักก็นิยมใช้เรขาคณิตในการสื่อสาร ซึ่งมันก้น่าจะสื่อสารได้ดีจริงๆ
แต่ถ้าเราเพิ่มความน่าสนใจให้กับมันหล่ะ ก็น่าจะดีกว่าการสื้อสารแบบทั่วๆไปใช่ไหม
(อ้างอิง หนังสือ เรขาคณิต ของ สอวท)
น้อยๆอันนี้ ก็เลยเจอหนังสือเรขาคณิตที่เกี่ยวข้องกับทางคณิตศาสตร์(ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดอย่างจริงแท้)
และก็เจอหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของเบาเฮ้าส์อีกเล่ม ซึ่งพอมาเปิดดูรูป และอ่านตรงที่สามารถอ่านได้โดย
ไม่ต้องไปเบียดเบียน พจนาณุกรมภาษาอังกฤษก็ เจอสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเมื่อมารวมกับสิ่งที่เราสงสัย
และ ตะขิดตะขวงใจก็น่าจะพอทําอะไรได้บ้าง สําหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านตอนก้าวสู่สังเวียนแนะนําให้ไปอ่านก่อน
ก็จะพบว่า เรขาคณิตมีแบบแผนและนํามาย่อยใช้ได้ ง่ายกว่ารูปทรงที่ไม่มีแบบแผน
แต่สําหรับด้านความสวยงามและความแปลกใหม่นั้นหลายๆคนกลับมองมันว่าน่าเบื่อ ผมจึงคิดว่า
เออ..ถ้าเรานํารูปทรงเหล่านี้มาทําให้น่าสนใจหล่ะ
โดยที่มันยังคงเรื่องการสื่อสารที่ชัดเจนไว้ ก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง
จากภาพข้างบนจะเห็นได้ว่าเราสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าในภาพต่อๆไปจะเกิดอะไรขึ้นนั้นเพราะเรขาคณิตเป็นสิ่งที่เราเคย
เรียนรู้มาก่อนเมื่อวัยเยาว์และมันก็มีแบบแผนที่ชัดเจนยิ่งกว่าสัญญาณgsmซะอีก
หรือภาพนี้ใช้ทฤษฎีของปิทากอรัสก็สามารถสร้างภาพเรขาคณิตที่มีความซับซ้อนและมีเหตุผลทางทฤษฎีมารองรับอีกด้วย
ซึ่งน่าสนใจมากที่เดียวกระเทียมเจียวเลยแหละ นอกจากนั้นภาพที่ได้มายังมีการทับซ้อนโดยไม่ถมสีลงไปเหมือนกับการโชว์วัสดุในการทํา
ถ้าเป็นงานสถาปานิกก็เหมือนกับงานปูนเปือยในสมัยนี้นั้นเอง ที่เน้นการโชว์โครงสร้างโดยไม่ปิดบัง
ภาพนี้เป็นทฤษฎีการสะท้อนของเรขาคณิตโดยที่ภาพในกระจกและข้างนอกจะมีการขนานและตั้งฉากกัน
และยังสามารถสร้างภาพที่สวยงามได้อีกด้วยแฮะ
การสร้างเรขาคณิตอาจจะไม่ได้จํากัดด้วยวิธีเขียนหรือสร้างดังนั้นหากนําวิธีที่น่าสนใจมาใช้ในการทํางานกับมัน
ก็น่าจะทําให้เกิดความน่าสนใจได้อีกด้วย อย่างข้างบนนี่ก็จะเป็นวิธีใช้การเจาะกระดาษในการสร้างรูปทรง
ภาพด้านบนยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนําสิ่งที่สมัยก่อนว่ากันว่าสวยงามจําพวกของย้วยๆแนวๆ artdeco
กับสิ่งที่นักออกแบบรุ่นใหญ่สมัยนี้เห้นว่ามันสมบูรณ์แบบ เช่น Helvetica ถ้านําสองสิ่งจากทั้งสอง
สมัยมารวมกันก็น่าจะทําให้เกิดความขัดแย้งแบบแปลกๆขึ้นมา
อย่างป้ายจราจรที่ถือว่าเน้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลักก็นิยมใช้เรขาคณิตในการสื่อสาร ซึ่งมันก้น่าจะสื่อสารได้ดีจริงๆ
แต่ถ้าเราเพิ่มความน่าสนใจให้กับมันหล่ะ ก็น่าจะดีกว่าการสื้อสารแบบทั่วๆไปใช่ไหม
(อ้างอิง หนังสือ เรขาคณิต ของ สอวท)
11/22/2550
ฟอนต์ภาษาไทยที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร
พอดีวันนี้ไปอ่านเวป http://www.f0nt.com ก็เจอบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟอนต์ภาษาไทยที่ดี โดยเนทเทค เลยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการออกแบบตัวอักษรหรืออย่างน้อย
ก็น่าจะช่วยเพิ่มวิธีในการเลือก
ฟอนต์ที่ดีที่มีคุณภาพมาใช้ในงาน
กดโหลดด้านล่างได้เลยเน้อ เป็น pdf นะ
โหลดจ้า
ขอขอบคุณ
http://f0nt.com/ สําหรับการนําบทความดีดีมาเผยแพร่
ก็น่าจะช่วยเพิ่มวิธีในการเลือก
ฟอนต์ที่ดีที่มีคุณภาพมาใช้ในงาน
กดโหลดด้านล่างได้เลยเน้อ เป็น pdf นะ
โหลดจ้า
ขอขอบคุณ
http://f0nt.com/ สําหรับการนําบทความดีดีมาเผยแพร่
11/19/2550
ก้าวแรกสู่สังเวียน ภาคต่อนิดต่อหน่อย
พอเริ่มมาคิดถึงจุดเชื่อมโยงกับไอ้กลุ่มคอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม ก็รู้สึกแปลกดีว่า กลุ่มหนึ่งด้วยเหตุผลที่ต้องการสร้างงานศิลปะของตนให้กระจายออกสู่
สาธารณะโดยอาศัย เทคโนโลยี กับอุตสาหกรรม กับอีกกลุ่มหนึ่ีงพยายามที่จะผสาน
ระหว่างอุตสาหกรรมให้เข้ากับศิลปะ จริงอยู่ว่า
ด้วยสถานการณ์ที่น่าจะรุนแรงกว่าของฝั่งเบาเฮ้าส์มันผลักดันให้งานถูกออก
แบบมาในลักษณะนั้น
แต่ว่าแล้วทางรัสเซียหล่ะ? เท่าที่คุยกับไอ้กลุ่มคอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม
มันมีเหตุผลแค่เพียงต้องการ
สร้างงานศิลปะให้กระจายออกโดยแค่ต้องการต่อต้านศิลปะสมัยเก่าแค่นั้น ซึ่งเท่าที่ฟังดูด้วยความเห็นส่วนตัวรู้สึกว่าเหตุผลดูไม่ค่อยจะหนักแน่นเท่าไรในการสร้างงาน
แล้วเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า
ทําให้มันไม่มีแรงขับดันจนลักษณะของในช่วงแรกของกลุ่มConstructivism
เลยได้เพียงแค่ไปปรับปรุงงานของคนอื่น
แต่ผลพลอยได้ของมันคือ ก็เกิด Photomontage จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าแรงขับดันมันจะ
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่น่า สนใจและแปลกใหม่ออกมา
มันไม่ได้เกิดจากความอิสระที่จู่ๆก็คิดขึ้นได้ แต่มันน่าจะถูกสร้างภายใต้
กรอบหรือข้อกําหนดบางอย่างมากกว่า
เพราะฉะนั้นถ้านําเรื่องข้อกําหนดนี้โยงกลับมาถึงเรื่องเรขาคณิต ก็จะพบว่า
การที่มันไม่เป็นรูปทรงอื่นหรือfreemform ก็น่าจะเป็นเพราะ ถ้าเป็นรูปทรงอื่นการหาข้อกําหนดหรือกรอบให้กับมันน่าจะเป็นเรื่องที่
กระทําได้ยากกว่ารูปทรงเรขาคณิต
ซึ่งค่อนข้างสะดวกและตายตัว หรือมีโงานหลายงานถึงถูกพัฒนาครงสร้างมาจากเรขาคณิตนั้นเอง
สาธารณะโดยอาศัย เทคโนโลยี กับอุตสาหกรรม กับอีกกลุ่มหนึ่ีงพยายามที่จะผสาน
ระหว่างอุตสาหกรรมให้เข้ากับศิลปะ จริงอยู่ว่า
ด้วยสถานการณ์ที่น่าจะรุนแรงกว่าของฝั่งเบาเฮ้าส์มันผลักดันให้งานถูกออก
แบบมาในลักษณะนั้น
แต่ว่าแล้วทางรัสเซียหล่ะ? เท่าที่คุยกับไอ้กลุ่มคอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม
มันมีเหตุผลแค่เพียงต้องการ
สร้างงานศิลปะให้กระจายออกโดยแค่ต้องการต่อต้านศิลปะสมัยเก่าแค่นั้น ซึ่งเท่าที่ฟังดูด้วยความเห็นส่วนตัวรู้สึกว่าเหตุผลดูไม่ค่อยจะหนักแน่นเท่าไรในการสร้างงาน
แล้วเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า
ทําให้มันไม่มีแรงขับดันจนลักษณะของในช่วงแรกของกลุ่มConstructivism
เลยได้เพียงแค่ไปปรับปรุงงานของคนอื่น
แต่ผลพลอยได้ของมันคือ ก็เกิด Photomontage จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าแรงขับดันมันจะ
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่น่า สนใจและแปลกใหม่ออกมา
มันไม่ได้เกิดจากความอิสระที่จู่ๆก็คิดขึ้นได้ แต่มันน่าจะถูกสร้างภายใต้
กรอบหรือข้อกําหนดบางอย่างมากกว่า
เพราะฉะนั้นถ้านําเรื่องข้อกําหนดนี้โยงกลับมาถึงเรื่องเรขาคณิต ก็จะพบว่า
การที่มันไม่เป็นรูปทรงอื่นหรือfreemform ก็น่าจะเป็นเพราะ ถ้าเป็นรูปทรงอื่นการหาข้อกําหนดหรือกรอบให้กับมันน่าจะเป็นเรื่องที่
กระทําได้ยากกว่ารูปทรงเรขาคณิต
ซึ่งค่อนข้างสะดวกและตายตัว หรือมีโงานหลายงานถึงถูกพัฒนาครงสร้างมาจากเรขาคณิตนั้นเอง
11/18/2550
Eleven Birthday book
หลังจากได้รับโจทย์เกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Eleven ก็ได้อ่านและตีความมาเกี่ยวกับความเศร้าซึ่งเป็นความต่าง วันเกิดน่าจะเป็นวันที่สนุกแต่กลับต้องมาคิดในเรื่องที่เป็นเรื่องแย่ๆ บวกกับการที่ตัวเด็กเองก็ไม่ต้องการที่จะอายุ11 ทําให้โทนหนังสือออกแนวเศร้าๆแบบเด็กๆ ผสมกลิ่นประชดประชัดเล็กน้อยกับฟอร์มของ รูปเค้กต่างๆกับเนื้อความที่ดูเศร้าสร้อย จากที่ปกติทําแต่งาน Grid แข็งโป๊ก ก็ได้มาลองทําอะไรที่หลุดจากที่เคยทํามานิดหนึ่งก็ถึงแม้งานจะยังไม่ลงตัวเท่าไรแต่ก็รู้สึกสนุกดี
บางทีการมี Grid ที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็ทําให้อ่านง่ายสบายตา แต่ในทางกลับกันก็ดูน่าเบื่อพิกล
บางทีการมี Grid ที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็ทําให้อ่านง่ายสบายตา แต่ในทางกลับกันก็ดูน่าเบื่อพิกล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)