11/18/2550

ก้าวแรกสู่สังเวียน Q( ' ' Q)



รู้สึกเหมือนอาทิตย์นี้ทุกอย่างจะไม่ไหลลื่นชื่นมื่นเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการที่โพสบทความลงบล็อคไม่ได้ ไปจนถึงเรื่องงานที่หลังจากที่ได้นําเสนอประเด็น และข้อสงสัยต่างๆ
เกี่ยวกับเบาเอ้าส์ไปเรียบร้อยแล้วนั้น ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มตกอยู่ในสภาวะ " ไร้นํ้าหนัก " ตอนนี้อาจจะต้องพึ่งตัวเองและการพูดคุย
ถกเถียงกับเพื่อนๆมากกว่า การหาข้อมุลโดยไร้จุดมุ่งหมาย การจับประเด็นท
ี่สนใจ (ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าจะนัามาสู่งานอย่างไร ) มาพูดคุยน่าจะดูมีประโยชน์มากกว่า การคุยกับคนนอกกลุ่มก็ดูจะได้แนวคิดที่น่าสนใจไม่น้อย


ภาพประกอบการประชุม
บางทีก็เกิดการถกเถียงขึ้นเขียงกัน


บางทีการถกเถียงก็นําไปสู่ความปวดหัว




สุดท้ายหลังจากวิเคราะห์ร่วมกับไอ้กลุ่ม คอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม
ก็รู้สึกจะจับเด็นทางด้านสังคมและการเมืองมาทําอะไรไม่ค่อยจะได้ ถึงแม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องการผลิต และเรื่อง
ของอุตสาหกรรม บวกกับจุดยืนทางการผลิตงานที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังไม่สามารถนําไปสู่ประ
เด็นของตัวเองได้
อาจจะเป็นเพราะไม่ได้สนใจตรงนั้นมั้ง จุดที่คิดว่าตัวเองสนใจน่าจะเป็นของรูปทรงเรขาคณิต เพราะจริงๆแล้วในหัวใจ
น้อยๆดวงนี้ รู้สึกขัดๆในใจตลอดเวลาว่า " เฮ้ยทําไมไอ้รูปแบบที่ว่าสมเหตุสม
ผล และเป็นรูปทรงที่ตัดไอ้ส่วนเกินทิ้งไปแล้ว
ดันเป็น ไอ้รูปเรขาคณิตที่หลายๆคนว่ามันน่าเบื่อว่ะ " ก็เลยนําประเด็นตรงนี้ไปหาข้อมุลดู เลยล่อไปถึง ปิทากอรัส ซึ่งหลังจากดูสูตรและก็ลามไปศึกษานักคณิตศาสตร์คนอื่นแล้ว ก้รู้สึกว่าจริงๆ
ไอ้เรขาคณิตเนี่ยมันมีมานานมากๆๆๆแล้ว
และไอ้สูตรต่างๆที่มันเกิดขึ้นมา มันก็เกิดจากการศึกษาไอ้รูปทรงพวกนี้แหละ ไม่อยากจะใช้คําว่ามันคิดสูตร อยากจะใช้ว่าค้นพบมากกว่า จริงๆความจริงเกี่ยวกับเรขาคณิตมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะพบมันและนําออกมาอธิบายได้ไหม




หลังจากนั่งทําเท่ที่ True cafeได้1 ชม. ก็ยังไมไ่ด้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไร ก็เลยนั่งวาดรูปสี่เหลี่ยม ทับข้อความที่เป็นสูตรคณิตศาสตร์นรกที่เคยเรียนต้องมัธยม พร้อมทั้งพูดออกมาว่า
"
ข้อดีของมันมีอะไรบ้างว่ะ แล้วทําไมต้องเรขาคณิตไม่freeformหล่ะทําไมต้องเหลี่ยม "
" แล้วเวลาไอ้คนสมัยที่ยังไม่มีความรู้อะไรเลย ทําไมมันวาดเรขาคณิตได้แล้ว
ทําไมมันจํากันได้ว่ะ "

คุณดีโก้ จ๊าบบอย ( เจ้าของท่า ตกกระไดพลอยจ๊าบ แห่งตึก7อันเลื่องลือ )

ก็พูดสวนมาว่า " ก็ถ้าไม่เป็นเรขาคณิตจะจําได้เปล่า หนิ "

เออจริงแฮะ จากจุดนี้เลยเริ่มวาดโดยทดลองกันง่ายๆ โดยพยายามจะลืมความรู้ทางเรขาคณิตที่โดนครูยัดเยียดมาให้
และคิดอะไรที่ง่ายๆแทน



จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า เออแฮะด้านซ้ายมันจัาง่ายกว่าจริงๆ แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ
สมองเราได้เคยเรียนรู้และจดจําไอ้รูปทรงพวกนี้ไว้แล้ว







จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า การนับจํานวนทางด้านซ้ายจะสามารถนับได้รวดเร็วกว่าด้านขวา






จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า ด้านขวาอ่านง่ายและสบายตากว่าด้านซ้ายเยอะ


พอนั่งไปซักพักก็คิดบ้าบอไปเรื่อย ตั้งแต่เราเกิดมาก็อยู่บนโลกที่มันมีเรขาคณิตอยู่รอบตัวไปหมดตั้งแต่ตื่นก็เจอกําแพง พื้น
ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ การที่มีคนชอบออกมาบอกว่าต้องการจะอยู่นอกกรอบต้องการอิสระ ผมก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองอะไร ผมแค่คิดว่าเราสามารถเลือกกรอบเองได้ นอกจากนั้นยังสามารถมีอิสระภายใต้กรอบที่เราเลือก
การที่เราอยู่บนโลกที่ไม่มีเรขาคณิต ส่วนตัวผมคิดว่ามันคงจะจับต้องอะไรได้ยาก ส่วนตัวผมคิดว่าเรขาคณิตมันเป็นตัวแทน
ของเหตุผลที่ถูกแสดงออกมาเป็นภาพ และเป็นเพราะเหตุนี้เปล่า ทําให้หลายคนเบื่อไอ้รูปทรงพวกนี้ เพราะรู้สึก

คนสมัยนี้จะเรียกหาอิสระโดยไม่คํานึงถึงเหตุผลเหลือเกิน

ส่วนตัวผมว่าคนสมัยก่อยพยามหลีกหนีรูปทรงพวกนี้ จะเห็นได้จากงานศิลปะที่มีความชะมดชดช้อย แต่สุดท้ายก็วนกลับมาที่เรขาคณิตอีกเหมือนการที่สุดท้ายคนเราก็หนีกรอบและเหตุผลไม่พ้น

สําหรับยุคปัจจุบันสไตล์งานมันถูกทํามาจนแทบจะหมดแล้ว อยู่ที่การหยิบมาใช้มากกว่า
สุนทรียภาพ และ การใช้งาน มันถูกชั่งนํ้าหนักกัน อันไหนจะมากจะน้อยอยู่ที่ความต้องการและเหตุผล
ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดมากําหนดทิศทางงานได้เหมือนสมัยก่อน



จากตัวอักษรA2ตัวนี้จริงอยู่ว่าถ้ามองทางด้านสวยงามทางอุดมคติ ผมกล้าตอบว่าทางขวาน่าจะเข้าเป้ามากกว่า
แต่ถ้าเรานํามาใช้งานจริงๆหล่ะ ด้านซ้ายน่าจะนํามาย่อยลงสมองง่ายกว่าหรือไม่?

สําหรับเรื่องนี้บทสรุปที่แน่นอนยังไม่ชัดเจน และยังคงต้องการการค้นคว้าเพิ่มเติม ถ้าใครสนใจก็รอดูต่อละกันนะ





ไม่มีความคิดเห็น: