11/25/2550

จู่โจม,ทําลาย และเปิดศึกเต็มรูปแบบกับความหมายของขัน

อันนี้เป้นงานของวิชา computer art โดยเป็นงานกลุ่ม4คน(ผม ฟานเชสโก้ สะเดา ไอ้ไหว่)
โดยโจทย์ที่เราได้รับคือ Deconstruction การทําลายของบางสิ่งบางอย่างและนํามารวมให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งสนุกชิบแชบเลยหล่ะ :)

โดยมีขั้นตอนการทํางานคร่าวๆดังนี้

1. ทำความเข้าใจกับโจทย์ วิเคราะห์และหาความเป็นไปได้

โดยมีรายชื่อสิ่งที่คิดจะทำดังนี้
- เนื้อเรื่อง - หลังจากลองทําไปนิดนึงก็พบสิ่งที่น่าสนใจที่พร้อมจะทําการเชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่างได้
- ภาพยนตร์ - คิดกันว่าคนน่าจะทำเยอะแล้วเลยตัดทิ้ง
- MV - เหตุผลเช่นเดียวกัยภาพยนตร์
- เสื้อผ้า - ลองทำไปแล้วแต่ไม่น่าสนใจเลย (อาจารย์ก็เห็นด้วยว่าอย่าเลย)
- รูป - ในกลุ่มไม่สนใจจะทำ (ส่ายหน้าเหมือนเจอโจทย์แคลคูลัส)
- สัตว์ - ตอนแรกคิดว่าเจ๋งมาก แต่คิดๆดูอีกทีก็พบว่ามีคนทำแล้ว เช่น คิเมร่า
- ต้นไม้ - จริงๆน่าสนใจ แต่พอดีความเห็นไม่ตรงกันรวมทั้งคิดว่าระยะเวลาในการทําไม่น่าจะพอเลยตัดทิ้งไป

2. เลือกหัวข้อที่สนใจมากที่สุด

โดยกลุ่มตัดสินใจกันว่าจะเลือกทําเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง

หลังจากนั้นเริ่มระดมความคิดเพื่อหาคำที่น่าสนใจโดยโจทย์อยู่ที่การหาคำที่มี
ความหมาย(พ้องรูป)หลายๆแบบ ดังนี้

- คน - ขัน - หมู
- สี - ดาว - เป้า
- ตา - ไก่ - โจ๊ก
- เสีย - หลัง - ชา
- มัน

จากนั้นเลือกสองคำที่สนใจมาทดลอง โดบหาบทความในความหมายต่างๆ
มาตัดและลองต่อให้เกิดเรื่องที่น่าสนใจ เพื่อสร้างความแปลกใหม่
และนำไปสู่ประเด็นทางการออกแบบ โดยใช้คำว่า "ขัน"และ"มัน"
มาทำการทดลอง ปรากฏว่าคำว่า "ขัน" มีความน่าสนใจกว่า
จึงได้นำมาพัฒนาต่อ

3. พัฒนาเนื้อเรื่องให้น่าสนใจ

ขั้นแรก แยกความหมายออกเป็น 5 แบบ ตามโจทย์
- ขันตักน้ำ
- ไก่ขัน
- นกเขาไม่ขัน
- ขบขัน
- ขันน๊อต

และนำบทความมาตัดและต่อในรูปแบบต่างๆจน
ได้เนื้อความที่น่าสนใจ ดังนี้

คัดประโยคต่างๆที่สนใจออกมา

- พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันน้ำพระพุทธมนต์
- ควรใช้ขันตักอาบหรือใช้ฝักและในขณะทำการฟอกสบู่ควรปิดก๊อกน้ำไว้ก่อน
- ไม่นานเสียงไก่ขันก็รับกันเป็นทอดๆ
- ไก่ตัวนี้รู้จักเวลาขันมากที่จะพูดว่า "ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ตาม"
ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกจนเหงื่อออกเลยด้วยซ้ำ
- ฝันว่าได้จับขันตักน้ำหรือเอาขันตักน้ำราดอาบตนเอง ทายว่าจะหมดเคราะห์
- ภาวะนกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากการขาดฮอร์โมนพบเพียงร้อยละ5ของทั้งหมด
- ภาวะนกเขาไม่ขันเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะที่จริงแล้วการที่ผู้ชายจะเกิดภาวะเช่นนี้
ส่วนใหญ่มักจะมีโรคที่เป็นต้นเหตุแอบซ่อนอยู่
- ท่ายควรขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่ขนาดของประแจประจำรถของท่ายจะถอดได้
- ทีนี้ก็มาขันน้อตแกนเพลากับดุมล้อแล้วครับ โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้
แล้วขันน้อตล้อเพลากับดุมล้อให้แน่นเลยครับ
- เป็นสิ่งที่น่าขบขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น

นําประโยคต่างๆที่สนใจมาประกอบเข้าด้วยกันดังนี้ (ตัวหนาส้ม)

เรื่องที่น่าขัน น่าที่จะพูดว่าขันน้ำลายขุดใบนี้ ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันตักน้ำราดอาบตนเอง พระเกจิอาจารย์สมัย
ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะที่เขาเห็น
เด้กหญิงคนนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ริมฝั่ง "เธอร้องให้ทำไมหรือ?"
ชาลีถาม "ขันน้ำของฉันหาย" เด็กหญิงตอบ "ญาติเป็นคนให้
ขันน้ำรูปครึ่งวงกลมและกรวยกรอกน้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางของ
ปากขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือรักจึงเป็นสีดำ


นกเขาไม่ขันที่มีสาเหตุมาจากไก่ขันยามตัวหนึ่ง
ไก่ตัวนี้ไม่รู้จักเวลาขันของสังคมไปเสียอย่างนั้น
เพราะที่จริงแล้วกินรักษานกเขาไม่ขันน้อตล้อให้แน่นเท่าที่
ขนาดของประแจประจำรถของท่านจะถอดได้
แต่ก็มีสิ่งที่น่าขบขันตักอาบน้ำหรือใช้ฝักบัวและในขณะทำการฟอกสบู่
พระเกจิอาจารย์ตั้งแต่โบราณนิยมสร้างขันตักน้ำราดอาบตนเอง
ไม่นานเสียงไก่ก็ขันน๊อตแกนเพลากับคุมล้อ
โดยให้หาผู้ช่วยเหยียบเบรคไว้แล้วขันน้ำใบนี้เคลือบด้วยรักหรือฮักจึงเป็นสีดำ

จากนั้นก็นําบทความที่ได้ไปเชื่อมโยงกับสื่ออื่น
เพิ่มเพิ่มความน่าสนใจ และนําไปสู่งานสําเร็จ
โดยจะเห็นได้ว่าช่วงแรกๆคําและประโยคต่างๆ จะนําเข้าไปรวมกับความหมายของขัน
โดยมีนัยว่าประโยคพวกนี้ไม่ได้ทําให้ความหมายของคําว่าขันเปลี่ยนแปลงไป
แต่พอไปถึงช่วงหลังเราก็จะนําประโยคที่แต่งไว้อย่างสับสนมาจัดวางแบบสุ่ม
เพื่อบดบังกับความเป็นขัน โดยโจทย์ของเราก็คือทําลายความเป็นขันด้วย
ความหมายที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างสับสน
และข้างล่างนี่คือตัวงานใครสนใจเมล์มาถามได้เน้อ




ประเด็นที่น่าสนใจและน่าเอาใจใส่ดูแลของเรขาคณิต

หลังจากที่ได้ศึกษาและสนใจเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิต ก็เลยเดินไปที่ห้องสมุดดูเพื่อหาข้อมูลที่น่าสนใจ มาเติมในสมอง
น้อยๆอันนี้ ก็เลยเจอหนังสือเรขาคณิตที่เกี่ยวข้องกับทางคณิตศาสตร์(ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดอย่างจริงแท้)
และก็เจอหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีของเบาเฮ้าส์อีกเล่ม ซึ่งพอมาเปิดดูรูป และอ่านตรงที่สามารถอ่านได้โดย
ไม่ต้องไปเบียดเบียน พจนาณุกรมภาษาอังกฤษก็ เจอสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งเมื่อมารวมกับสิ่งที่เราสงสัย
และ ตะขิดตะขวงใจก็น่าจะพอทําอะไรได้บ้าง สําหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านตอนก้าวสู่สังเวียนแนะนําให้ไปอ่านก่อน
ก็จะพบว่า เรขาคณิตมีแบบแผนและนํามาย่อยใช้ได้ ง่ายกว่ารูปทรงที่ไม่มีแบบแผน
แต่สําหรับด้านความสวยงามและความแปลกใหม่นั้นหลายๆคนกลับมองมันว่าน่าเบื่อ ผมจึงคิดว่า
เออ..ถ้าเรานํารูปทรงเหล่านี้มาทําให้น่าสนใจหล่ะ
โดยที่มันยังคงเรื่องการสื่อสารที่ชัดเจนไว้ ก็น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง



จากภาพข้างบนจะเห็นได้ว่าเราสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าในภาพต่อๆไปจะเกิดอะไรขึ้นนั้นเพราะเรขาคณิตเป็นสิ่งที่เราเคย
เรียนรู้มาก่อนเมื่อวัยเยาว์และมันก็มีแบบแผนที่ชัดเจนยิ่งกว่าสัญญาณgsmซะอีก





หรือภาพนี้ใช้ทฤษฎีของปิทากอรัสก็สามารถสร้างภาพเรขาคณิตที่มีความซับซ้อนและมีเหตุผลทางทฤษฎีมารองรับอีกด้วย
ซึ่งน่าสนใจมากที่เดียวกระเทียมเจียวเลยแหละ นอกจากนั้นภาพที่ได้มายังมีการทับซ้อนโดยไม่ถมสีลงไปเหมือนกับการโชว์วัสดุในการทํา
ถ้าเป็นงานสถาปานิกก็เหมือนกับงานปูนเปือยในสมัยนี้นั้นเอง ที่เน้นการโชว์โครงสร้างโดยไม่ปิดบัง



ภาพนี้เป็นทฤษฎีการสะท้อนของเรขาคณิตโดยที่ภาพในกระจกและข้างนอกจะมีการขนานและตั้งฉากกัน
และยังสามารถสร้างภาพที่สวยงามได้อีกด้วยแฮะ



การสร้างเรขาคณิตอาจจะไม่ได้จํากัดด้วยวิธีเขียนหรือสร้างดังนั้นหากนําวิธีที่น่าสนใจมาใช้ในการทํางานกับมัน
ก็น่าจะทําให้เกิดความน่าสนใจได้อีกด้วย อย่างข้างบนนี่ก็จะเป็นวิธีใช้การเจาะกระดาษในการสร้างรูปทรง



ภาพด้านบนยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการนําสิ่งที่สมัยก่อนว่ากันว่าสวยงามจําพวกของย้วยๆแนวๆ artdeco
กับสิ่งที่นักออกแบบรุ่นใหญ่สมัยนี้เห้นว่ามันสมบูรณ์แบบ เช่น Helvetica ถ้านําสองสิ่งจากทั้งสอง
สมัยมารวมกันก็น่าจะทําให้เกิดความขัดแย้งแบบแปลกๆขึ้นมา

อย่างป้ายจราจรที่ถือว่าเน้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลักก็นิยมใช้เรขาคณิตในการสื่อสาร ซึ่งมันก้น่าจะสื่อสารได้ดีจริงๆ
แต่ถ้าเราเพิ่มความน่าสนใจให้กับมันหล่ะ ก็น่าจะดีกว่าการสื้อสารแบบทั่วๆไปใช่ไหม



(อ้างอิง หนังสือ เรขาคณิต ของ สอวท)

11/22/2550

ฟอนต์ภาษาไทยที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร

พอดีวันนี้ไปอ่านเวป http://www.f0nt.com ก็เจอบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟอนต์ภาษาไทยที่ดี โดยเนทเทค เลยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการออกแบบตัวอักษรหรืออย่างน้อย
ก็น่าจะช่วยเพิ่มวิธีในการเลือก
ฟอนต์ที่ดีที่มีคุณภาพมาใช้ในงาน


กดโหลดด้านล่างได้เลยเน้อ เป็น pdf นะ

โหลดจ้า

ขอขอบคุณ
http://f0nt.com/ สําหรับการนําบทความดีดีมาเผยแพร่

11/19/2550

ก้าวแรกสู่สังเวียน ภาคต่อนิดต่อหน่อย

พอเริ่มมาคิดถึงจุดเชื่อมโยงกับไอ้กลุ่มคอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม ก็รู้สึกแปลกดีว่า กลุ่มหนึ่งด้วยเหตุผลที่ต้องการสร้างงานศิลปะของตนให้กระจายออกสู่
สาธารณะโดยอาศัย เทคโนโลยี กับอุตสาหกรรม กับอีกกลุ่มหนึ่ีงพยายามที่จะผสาน
ระหว่างอุตสาหกรรมให้เข้ากับศิลปะ จริงอยู่ว่า
ด้วยสถานการณ์ที่น่าจะรุนแรงกว่าของฝั่งเบาเฮ้าส์มันผลักดันให้งานถูกออก
แบบมาในลักษณะนั้น

แต่ว่าแล้วทางรัสเซียหล่ะ? เท่าที่คุยกับไอ้กลุ่มคอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม
มันมีเหตุผลแค่เพียงต้องการ
สร้างงานศิลปะให้กระจายออกโดยแค่ต้องการต่อต้านศิลปะสมัยเก่าแค่นั้น ซึ่งเท่าที่ฟังดูด้วยความเห็นส่วนตัวรู้สึกว่าเหตุผลดูไม่ค่อยจะหนักแน่นเท่าไรในการสร้างงาน
แล้วเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า
ทําให้มันไม่มีแรงขับดันจนลักษณะของในช่วงแรกของกลุ่มConstructivism
เลยได้เพียงแค่ไปปรับปรุงงานของคนอื่น
แต่ผลพลอยได้ของมันคือ ก็เกิด Photomontage จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าแรงขับดันมันจะ
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่น่า สนใจและแปลกใหม่ออกมา
มันไม่ได้เกิดจากความอิสระที่จู่ๆก็คิดขึ้นได้ แต่มันน่าจะถูกสร้างภายใต้
กรอบหรือข้อกําหนดบางอย่างมากกว่า
เพราะฉะนั้นถ้านําเรื่องข้อกําหนดนี้โยงกลับมาถึงเรื่องเรขาคณิต ก็จะพบว่า
การที่มันไม่เป็นรูปทรงอื่นหรือfreemform ก็น่าจะเป็นเพราะ ถ้าเป็นรูปทรงอื่นการหาข้อกําหนดหรือกรอบให้กับมันน่าจะเป็นเรื่องที่
กระทําได้ยากกว่ารูปทรงเรขาคณิต
ซึ่งค่อนข้างสะดวกและตายตัว หรือมีโงานหลายงานถึงถูกพัฒนาครงสร้างมาจากเรขาคณิตนั้นเอง

11/18/2550

Eleven Birthday book

หลังจากได้รับโจทย์เกี่ยวกับหนังสือเรื่อง Eleven ก็ได้อ่านและตีความมาเกี่ยวกับความเศร้าซึ่งเป็นความต่าง วันเกิดน่าจะเป็นวันที่สนุกแต่กลับต้องมาคิดในเรื่องที่เป็นเรื่องแย่ๆ บวกกับการที่ตัวเด็กเองก็ไม่ต้องการที่จะอายุ11 ทําให้โทนหนังสือออกแนวเศร้าๆแบบเด็กๆ ผสมกลิ่นประชดประชัดเล็กน้อยกับฟอร์มของ รูปเค้กต่างๆกับเนื้อความที่ดูเศร้าสร้อย จากที่ปกติทําแต่งาน Grid แข็งโป๊ก ก็ได้มาลองทําอะไรที่หลุดจากที่เคยทํามานิดหนึ่งก็ถึงแม้งานจะยังไม่ลงตัวเท่าไรแต่ก็รู้สึกสนุกดี
บางทีการมี Grid ที่ถูกจัดอย่างเป็นระบบระเบียบ ก็ทําให้อ่านง่ายสบายตา แต่ในทางกลับกันก็ดูน่าเบื่อพิกล
















ก้าวแรกสู่สังเวียน Q( ' ' Q)



รู้สึกเหมือนอาทิตย์นี้ทุกอย่างจะไม่ไหลลื่นชื่นมื่นเหมือนอาทิตย์ที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการที่โพสบทความลงบล็อคไม่ได้ ไปจนถึงเรื่องงานที่หลังจากที่ได้นําเสนอประเด็น และข้อสงสัยต่างๆ
เกี่ยวกับเบาเอ้าส์ไปเรียบร้อยแล้วนั้น ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มตกอยู่ในสภาวะ " ไร้นํ้าหนัก " ตอนนี้อาจจะต้องพึ่งตัวเองและการพูดคุย
ถกเถียงกับเพื่อนๆมากกว่า การหาข้อมุลโดยไร้จุดมุ่งหมาย การจับประเด็นท
ี่สนใจ (ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าจะนัามาสู่งานอย่างไร ) มาพูดคุยน่าจะดูมีประโยชน์มากกว่า การคุยกับคนนอกกลุ่มก็ดูจะได้แนวคิดที่น่าสนใจไม่น้อย


ภาพประกอบการประชุม
บางทีก็เกิดการถกเถียงขึ้นเขียงกัน


บางทีการถกเถียงก็นําไปสู่ความปวดหัว




สุดท้ายหลังจากวิเคราะห์ร่วมกับไอ้กลุ่ม คอน-สะ-ตั๊ก-ติ-วิด-ซึ้ม
ก็รู้สึกจะจับเด็นทางด้านสังคมและการเมืองมาทําอะไรไม่ค่อยจะได้ ถึงแม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องการผลิต และเรื่อง
ของอุตสาหกรรม บวกกับจุดยืนทางการผลิตงานที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังไม่สามารถนําไปสู่ประ
เด็นของตัวเองได้
อาจจะเป็นเพราะไม่ได้สนใจตรงนั้นมั้ง จุดที่คิดว่าตัวเองสนใจน่าจะเป็นของรูปทรงเรขาคณิต เพราะจริงๆแล้วในหัวใจ
น้อยๆดวงนี้ รู้สึกขัดๆในใจตลอดเวลาว่า " เฮ้ยทําไมไอ้รูปแบบที่ว่าสมเหตุสม
ผล และเป็นรูปทรงที่ตัดไอ้ส่วนเกินทิ้งไปแล้ว
ดันเป็น ไอ้รูปเรขาคณิตที่หลายๆคนว่ามันน่าเบื่อว่ะ " ก็เลยนําประเด็นตรงนี้ไปหาข้อมุลดู เลยล่อไปถึง ปิทากอรัส ซึ่งหลังจากดูสูตรและก็ลามไปศึกษานักคณิตศาสตร์คนอื่นแล้ว ก้รู้สึกว่าจริงๆ
ไอ้เรขาคณิตเนี่ยมันมีมานานมากๆๆๆแล้ว
และไอ้สูตรต่างๆที่มันเกิดขึ้นมา มันก็เกิดจากการศึกษาไอ้รูปทรงพวกนี้แหละ ไม่อยากจะใช้คําว่ามันคิดสูตร อยากจะใช้ว่าค้นพบมากกว่า จริงๆความจริงเกี่ยวกับเรขาคณิตมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะพบมันและนําออกมาอธิบายได้ไหม




หลังจากนั่งทําเท่ที่ True cafeได้1 ชม. ก็ยังไมไ่ด้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักเท่าไร ก็เลยนั่งวาดรูปสี่เหลี่ยม ทับข้อความที่เป็นสูตรคณิตศาสตร์นรกที่เคยเรียนต้องมัธยม พร้อมทั้งพูดออกมาว่า
"
ข้อดีของมันมีอะไรบ้างว่ะ แล้วทําไมต้องเรขาคณิตไม่freeformหล่ะทําไมต้องเหลี่ยม "
" แล้วเวลาไอ้คนสมัยที่ยังไม่มีความรู้อะไรเลย ทําไมมันวาดเรขาคณิตได้แล้ว
ทําไมมันจํากันได้ว่ะ "

คุณดีโก้ จ๊าบบอย ( เจ้าของท่า ตกกระไดพลอยจ๊าบ แห่งตึก7อันเลื่องลือ )

ก็พูดสวนมาว่า " ก็ถ้าไม่เป็นเรขาคณิตจะจําได้เปล่า หนิ "

เออจริงแฮะ จากจุดนี้เลยเริ่มวาดโดยทดลองกันง่ายๆ โดยพยายามจะลืมความรู้ทางเรขาคณิตที่โดนครูยัดเยียดมาให้
และคิดอะไรที่ง่ายๆแทน



จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า เออแฮะด้านซ้ายมันจัาง่ายกว่าจริงๆ แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ
สมองเราได้เคยเรียนรู้และจดจําไอ้รูปทรงพวกนี้ไว้แล้ว







จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า การนับจํานวนทางด้านซ้ายจะสามารถนับได้รวดเร็วกว่าด้านขวา






จากภาพนี้จะเห็นได้ว่า ด้านขวาอ่านง่ายและสบายตากว่าด้านซ้ายเยอะ


พอนั่งไปซักพักก็คิดบ้าบอไปเรื่อย ตั้งแต่เราเกิดมาก็อยู่บนโลกที่มันมีเรขาคณิตอยู่รอบตัวไปหมดตั้งแต่ตื่นก็เจอกําแพง พื้น
ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อ การที่มีคนชอบออกมาบอกว่าต้องการจะอยู่นอกกรอบต้องการอิสระ ผมก็ไม่ได้รู้สึกขัดเคืองอะไร ผมแค่คิดว่าเราสามารถเลือกกรอบเองได้ นอกจากนั้นยังสามารถมีอิสระภายใต้กรอบที่เราเลือก
การที่เราอยู่บนโลกที่ไม่มีเรขาคณิต ส่วนตัวผมคิดว่ามันคงจะจับต้องอะไรได้ยาก ส่วนตัวผมคิดว่าเรขาคณิตมันเป็นตัวแทน
ของเหตุผลที่ถูกแสดงออกมาเป็นภาพ และเป็นเพราะเหตุนี้เปล่า ทําให้หลายคนเบื่อไอ้รูปทรงพวกนี้ เพราะรู้สึก

คนสมัยนี้จะเรียกหาอิสระโดยไม่คํานึงถึงเหตุผลเหลือเกิน

ส่วนตัวผมว่าคนสมัยก่อยพยามหลีกหนีรูปทรงพวกนี้ จะเห็นได้จากงานศิลปะที่มีความชะมดชดช้อย แต่สุดท้ายก็วนกลับมาที่เรขาคณิตอีกเหมือนการที่สุดท้ายคนเราก็หนีกรอบและเหตุผลไม่พ้น

สําหรับยุคปัจจุบันสไตล์งานมันถูกทํามาจนแทบจะหมดแล้ว อยู่ที่การหยิบมาใช้มากกว่า
สุนทรียภาพ และ การใช้งาน มันถูกชั่งนํ้าหนักกัน อันไหนจะมากจะน้อยอยู่ที่ความต้องการและเหตุผล
ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดมากําหนดทิศทางงานได้เหมือนสมัยก่อน



จากตัวอักษรA2ตัวนี้จริงอยู่ว่าถ้ามองทางด้านสวยงามทางอุดมคติ ผมกล้าตอบว่าทางขวาน่าจะเข้าเป้ามากกว่า
แต่ถ้าเรานํามาใช้งานจริงๆหล่ะ ด้านซ้ายน่าจะนํามาย่อยลงสมองง่ายกว่าหรือไม่?

สําหรับเรื่องนี้บทสรุปที่แน่นอนยังไม่ชัดเจน และยังคงต้องการการค้นคว้าเพิ่มเติม ถ้าใครสนใจก็รอดูต่อละกันนะ





โครงการอักขรศิลป์ “ทรงพระเจริญ”

จริงๆโครงการณ์นี้อาจารย์บอกไว้นานมากแล้วแต่ก็ พิรี้พิไรไม่ได้ลงมือทําซะที สําหรับคนที่ยังไม่ไม่รู้รายละเอียดโครงการณ์นี้
ก็สามารถอ่านรายละเอียดข้างล่างได้ อยากให้เพื่อนๆมาร่วมกันทําเพราะ อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นการโชว์ความร่วมมือในสาขาเรา แต่ก็ยังเป็นการ
แสดงออกถึงความรักที่มีต่อในหลวงของเรา ในรูปแบบและวิธีการของพวกเราเองด้วย

ส่วนตรงนี้จะเป็นรายละเอียดโครงการณ์เน้อ

------------------------------------------------------------------


เนื่องจากกลุ่มคณะวิชาศิลปกรรมศาสตร์ คณาจารย์ นักออกแบบ ศิลปิน บริษัท สยามพิวรรธน์ และองค์กรเอกชนต่างๆได้ร่วมกันจัดโครงการอักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ ซึ่งเป็นโครงการออกแบบ และเผยแพร่อักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ รูปแบบใหม่ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และจะมีการรวบรวมผลงานอักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ จากนักออกแบบและผู้ที่ส่งผลงานเข้าร่วม เพื่อจัดแสดงในระหว่างวันที่ 14 - 17 ธันวา
คม 2550 บริเวณ โถงชั้น 1 สยามดิสคอพเวอรี่เซ็นเตอร์ และผ่านเว็บไซต์ www.songpracharoen.org จึงใคร่ขอเรียนเชิญท่านซึ่งเป็นนักออกแบบ ให้เกียรติเข้าร่วมโครงการอักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ โดยออกแบบอักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ รูปแบบใหม่ขึ้น เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยมีกำหนดส่งผลงานออกแบบดังนี้ ออกแบบอักขรศิลป์ ทรงพระเจริญ ขนาด A2 (60 x 42 ซม.) ส่งเป็น File ภาพ jpeg โดยให้มีความละเอียด 150 – 300 dpi -> ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 <- (อ้างอิง http://grafiction.blogspot.com/ )

------------------------------------------------------------------


โชว์งานตัวเองหน่อยดีกว่า แนวคิดได้มาจากการถวายความเคารพ แบบถอนสายบัว ซึ่งพอทําออกมาจริงๆ
อาจจะสื่อไปไม่ถึงตรงนั้น แต่อย่างน้อยก็ดูอ่อนซ้อย และบวกกับสีหวานๆนิดหน่อยก็ดูเป็นการแสดงออก
ถึงความรักที่มีต่อในหลวงในลักษณะของความอ่อนโยน







( ขอขอบคุณ อาจารย์ สันติ ลอรัชวี สําหรับโครงการณ์ดีๆ )

11/11/2550

คุณสี่เหลี่ยมเจ้าปัญหาแห่งสถาบัน Bauhaus



สืบเนื่องจากเรื่องของสถาบัน Bauhaus ทําให้ได้ปมคําถามมาหลายปม ซึ่งข้าพเจ้าเองก็เป็นคนที่ไม่ถนัดในการแก้ปมต้่างๆมาตั้งแต่ตอนเรียนลูกเสือสํารอง
จึงต้องรบกวนพี่สี่เหลี่ยมเปลี่ยนหัวใจ มาช่วยแก้ปมเหล่านี้


เรามาเริ่มกันที่คําถามแรกเลยดีกว่า

1. Bauhaus Dutch และ swiss เกี่ยวข้องกันยังไง
และมีอิทธิพลต่อยุโรปยังไงหรอครับพี่
สี่เหลี่ยมเปลี่ยนหัวใจ เงยหน้าพร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะตอบว่า

" มันสืบเนื่องจากเศรษฐกิจทางสังคมและการเมืองมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแนวความคิดใน
การออกแบบรูปทรงและสถาปัตยกรรมและแนวความคิดของยุโรปซึ่งมีปัจจัย สำคัญดังนี้
ก. ปัจจัยทางสงคราม ซึ่งทำให้เกิดความเร่งรีบในหลายๆอย่าง การขวนขวายเรื่อง
เทคโนโลยี จึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาภายใต้เงื่อนไขในเชิง
ปริมาณ และระบบการคิดซ้ำๆซึ่งมีมาตรฐาน เดียวกันแบบสำเร็จรูป

ข. ปัจจัยของจำนวนประชากร มีการโยกย้ายเข้าสู่เมืองใหญ่ ทำให้ต้องมีการจัด
ระเบียบของชุมชนใหม่งานออกแบบทางสถาปัตยกรรม
จึงต้องสอดคล้องและตอบสนองกับปัญหารีบด่วนเหล่านี้

ค. ปัจจัยทางการเมืองและการปกครอง ซึ่งส่งเสริมเสรีภาพและความเสมอภาคโดย
ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ทางความคิดและการกระทำในแนวทางใหม่จึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย"


2. สถาปนิกแต่ละคนเป็นยังไงและทำไมจึงมีความคิดแบบนี้ ทำไมจึง
มีลักษณะของงาน ที่ออกมาคล้ายกันจังพี่


พี่สี่เหลี่ยมเปลี่ยนหัวใจขอเวลานอกคุยกับน้องสามเหลี่ยมสุดสวยเพื่อจะปรึกษากันเรื่องนี้ก่อนจะ ยิ้มแล้วตอบว่า


"จากแนวคิดที่ต้องการตอบสนองทางด้านอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีโดยสถาปนิกแต่ละคนมีแนว
ความคิดที่เรียกว่า “วัตถุวิสัยเชิงเหตุผล” ซึ่งให้ความสำคัญกับวัสดุใหม่ทางอุตสาหกรรมเพื่อ
ตอบสนองสภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่งานถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนอง
ศาสนา หรือความคิดส่วนบุคคล

William Morris – เป้นผู้เริ่มต่อต้านศิลปะลักษณะ Non-functionalrole (ไม่มีหน้าที่ใดๆ) ซึ่งได้ก่อต้องบริษัทที่รวมเอาศิลปินหลากหลายสาขามาทำงานในรูปแบบของ workshop ใน คศ. 1861 ซึ่งมีลักษณะ คล้ายกับการเรียนการสอนของ Bauhaus ที่มีการนำอาจารย์ในสาขาต่างๆมาสอนนักศึกษา

Henry van de Velde – สถาปนิกและนักออกแบบชาวเบลเยี่ยมได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Morris ในการค้นหาทางออกที่กลมกลืนระหว่าง เครื่องจักร ช่างฝีมือ ศิลปะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนในทุกระดับ จากการที่เค้าทำงานทางด้านทฤษฏีและปฏิบัติ เขาจึงได้พยายามเผยแพร่แนวคิดเรื่อง สุนทรียภาพเชิงอุตสาหกรรม เพื่อสร้างการยอมรับจากสังคม บทบาทที่สำคัญที่สุดของเขาเกิดขึ้นในเยอรมันนี เขาได้จัดระเบียบองค์กรใหม่ให้กับ Art and Crafts school และ Academy of fine arts ในไวมาร์ เมื่อ คศ. 1912

Hermann Muthesius มีส่วนช่วยในการก่อตั้งสมาคม Deutscher werkbund ซึ่งเป็นสมาคมของโรงงานผู้ผลิตสถาปนิกศิลปิน นักเขียนโดนมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาทิศทางใหม่และหามาตรฐานในการออกแบบเชิงหน้าที่ โดยมีพื้นฐานอยู่บนเครื่องจักรกล

ความพยายามเพื่อหาการยอมรับการใช้วัสดุใหม่และวิธีทำงานของอุตสาหกรรมที่ใช้เหตุผลควบคุม และสังคมแงอุตสาหกรรมายังคงดำเนินต่อไปเมื่อ วอเตอร์ โกรเพียส ได้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวย Weimar school of art ต่อจาก Henry van de Velde ซึ่งโดรงเรียนนี้ได้กลายเป็น Bauhaus ในคศ. 1919"

หลังจากตอบคําถามนี้พี่สี่เหลี่ยมของเราก็ได้ขอตัวไปเข้าห้องนํ้าซึ่งจริงๆ ข้าพเจ้าขอเดาส่งเดชว่า แกคงแอบไปโทรหาน้องวงกลมกิ๊กใหม่สุดของแก ที่เพิ่งจะไปพบกันที่บาร์ดังแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ
ผ่านไป...10นาทีพี่แกก็มานั่งพร้อมให้เราถามอันอีกครั้ง ผมจึงเริ่มถามแกต่อ


3. สิ่งที่ประชาชนในไวมาร์ต่อต้าน Bauhaus คืออะไรครับพี่

พี่สีเหลี่ยม ทําสีหน้าเครียด จนสามารถเห็นถึงรอยยับบนกระดาษแข็งสีเขียวได้อย่างชัดเจน
ก่อนที่พี่แกจะยืนปากมาข้างๆหูผมว่า "รู้แล้วเมิงเหยีบไว้เลยนะ"

"มันสืบเนื่องจากการที่เยอรมันใน คศ.1919 สาธารณะรัฐ ไวมาร์ ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ การที่ประเทศชาติต้องยอมเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายน์

นอกจากนั้นยังต้องชำระค่าปฏิกรรม 6,500 ล้านปอนด์ เป็นสภาวะที่ประชาชนสุดแสนจะทานทนชาวเยอรมันหาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ต้องส่งเป็น

ภาษีให้รัฐบาลทั้งหมด รัฐบาลเยอรมันนีไม่กล้าขึ้นภาษีอะไรอีกแล้วเนื่องจากคนจนของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

การปฏิวัติอุตสาหกรรมมีส่วนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และยังเป็นการแย่งอาชีพจากชนชั้นกรรมกร ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจใน Bauhaus เนื่องจากนโยบายของสถาบันซึ่งสนับสนุนในเรื่องของการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นแล "

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ถามคําถามต่อไปโดยไม่รีรอให้พี่แกแอบไปขี้เกียจ

4. ที่มาของรูปทรงเลขาคณิตในงานของ Bauhaus คืออะไรครับ

พี่สีเหลี่ยมยิ้มพร้อมทั้งทําสีหน้าภาคภูมิใจก่อนที่จะตอบว่า


" พวกพี่เกิดจากวิธีความคิด “ วัตถุวิสัยเชิงเหตุผล” การคิดทุกอย่างด้วยหลักเหตุและผลเพื่อตอบสนองต่อสภาพสังคมและการปฏิวัตอุตสาหกรรมซึ่งมีบทบาทมากในสมัยนั้นจึงเกิดการผสมกลมกลืนของวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์โดยสิ่งเหล่านี้ถูกนำไปประยุกต์กับวัตถุที่มีไม่มีคุณค่าทางศิลปะ และสิ่งเหล่านี้เองทำให้เกิดการสร้างรูปแบบที่เรียบง่าย พื้นฐานที่สุด ตัดทอนในสิ่งที่ไม่จำเป็น และทำงานจากปัญหา"

ทันทีที่พี่สี่เหลี่ยมตอบข้าพเจ้าก็ใช้วิธีเดิมคือรีบยิงคําถาม แต่พี่สี่เหลี่ยมแกขอพักแปปหนึ่ง
เราจึงนั่งจิบกาแฟจากไอเวอรี่โคส พร้อมทั้งพูดคุยกันถึงเรื่องการเมืองก่อนที่จะวกกลับเข้ามาเรื่องเดิม

5. แนวความคิดของเบาเฮ้าส์ดํารงอยู่ได้อย่างไรในปัจจุบันหรอครับ

พี่แกพยักหน้าพร้อมทั้งตอบทันทีว่า

"ถึงแม้สไตล์งานจะไม่ได้ถูกนํามาใช้แบบในอดีต แต่วิธีการคิด การแก้ไขปัญหาด้วยหลักเหตุและผลได้ถูกนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นระบบมาตรฐานที่ใช้ในการออกแบบปัจจุบัน "

หลังจากนั้นผมก็ได้บอกพี่แกว่า จะถามเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายแล้ว พี่แกแสดงออกทางสีหน้าอย่างพึงพอใจเป้นที่สุดก่อนจะ
ยกมือแล้วกวักปลายมือเข้ามาเหมือนกําลังท้าทายคัาถามสุดท้าย

6. ทําไมพรรคนาซีจึงสั่งปิดสถานบันเบาเฮาส์หล่ะพี่

พี่สี่เหลี่ยมถึงกับสั่นกับคําถามนี้พี่แก ชี้แจงรายละเอียดว่าเจ้านายของแกเป็นสังคมนิยม ซึ่งตรงข้ามกับพวก
ชาตินิยมอย่าง พรรคนาซี พี่สี่เหลี่ยม สูดหายใจแรงมากก่อนที่จะกัดฟันพูดออกมา

"เนื่องการที่ สถานบัน Bauhaus เป็นสถาบันที่ปลูกฝังความคิดในเชิงก้าวหน้า และสนับสนุนในเชิงอุตสาหกรรมซึ่งสามารถเห็นได้จาก
การตอบรับอย่างดีของเมือง เดลซาร์ ซึ่งเป็นเมืองที่กำลังมีการขยายและพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม โดยตัวสถาบันและนโยบายล้วนเอื้ออำนวยต่อระบบสังคมนิยมซึ่งขัดต่อระบบชาตินิยมของพรรคนาซี"

ข้าพเจ้าและเพื่อนกล่าวขอบคุณพี่สี่เหลี่ยมก่อนที่เราจะแยกจากกันไปคนละ way พี่สี่เหลี่ยมยัง
ใช้ข้้าพเจ้า ให้รับโทรศัทพ์ของน้องสามเหลี่ยมเพื่อที่จะยืนยันว่าแกไม่ได้อยู่กับน้องวงกลม



อ้างอิง

- Bauhaus 1919-1933 โดย Benedikt taschen
- Bauhaus โดย Frank Whitford
- ITTEN Element of color โดย Johannes Itten
- Disign and Form โดย Johannes Itten
- Swiss Graphic Design โดย Richard Hollis
- 30 Essential Typefaces for a lifetime โดย Imin Pao and Joshua Berger
- World war I โดยปรีชา ศรีวาลัย
- ประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ.1815-ปัจจุบัน เล่ม 1 โดย สุปราณี มุขวิชิต






กัลยาณมิตรตะลุยแดนมังกร ภาค ของแถม



อ่ะ แฮ่ม หลายคนอาจจะคิดว่าการเดินทางของเราคงจะสิ้นสุดอวสานแล้ว แต่พวกเราได้ตัดสินใจลุยกันต่อโดยไปนั่งเรือเพื่อไป
ที่ี่ดิโอล์สยาม แถวๆเพาะช่าง
ระหว่างที่อยู่บนเรือก็ถกเถียงกันถึงเรื่อง การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ด้วยถั่วลิสง






และแล้วก้มาถึงท่าเรือที่ สะพานพุธ จากนั้นเราก็ตรงไปที่ดิโอลสยามทันที
ระหว่างทางเห็นน้องๆพันธ์ขนสั้น เพิ่งเลิกเรียน ก็ทัาให้รําลึกถึงตัวข้าพเจ้าใจสมัยก่อน



จะเห็นได้ว่าการตกแต่งภาพนอกดูเป็นสไตล์อะไรซักอย่างที่ดูเก่าๆ ซึ่งก็ดูแล้วเป็น ดิ โอลด์ สะ หยาม
จริงๆด้วยแฮะ




ภายในการตกแต่งไม่ว่าจะเป็นลายกระเบื้องพื้น ไฟ หรือแม้กระทั่งตู้ติดใบประกาศ ก็ดูแล้วให้
บรรยายกาศแบบที่ดูเก่าๆ




แม้แต่kfcก็อยากจะเก่ากับเขาด้วย โปรดสังเกตุ ที่บันได





(ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันอ่านหวังว่าจะได้อะไนติดหัวกันไปบ้างนะ)

11/10/2550

กัลยาณมิตรตะลุยแดนมังกร ภาค เมืองจีนอินไทย


หลังจากลงจากแท็กซี่เจ้าปัญหาแล้ว ข้าพเจ้าและผองเพื่อนผู้แสนดี ก็ได้เดินสายโดยเริ่มจากสําเพ็งก่อน หลังจากเดินได้ระยะหนึ่งก็ สังเกตุในเรื่องของป้ายต่างๆซึ่งนิยมใช้สีทอง บนตัวอักษร ซึ่งจากการคาดเดาก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของเรื่องความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย


พอเดินไปจนถึงร้านขายผ้าก็พบ ป้ายกิ๊บเก๋ซึ่งด้วยสีและพื้นผิวของป้ายที่ถูกลอกออกมา ก็ทําให้ดูน่าสนใจไปอีกแบบ ถัดไปอีกนิดก็พยป้าย “ ไท่เพ็งโกย “ ซึ้งถ้ามองจากไกลๆน่าจะมีปัญหาในเรื่องของการมองเห็น เนื่องจากใช้ ตัวอักษรแบบ outline ซึ่งถูกแบอยู่บนโครงเหล็ก อาจจะทําให้คนดูสับสนได้ แต่ส่วนตัวข้้าพเจ้ากลับมองว่ามันก็น่าสนใจไปอีกแบบ



พอเดินมาถึงโซนขายของส่ง ก็จะสามารถพบเห็นกระดาษสีสะท้อนแสงแสบตาแวววับจับใจ ถ้ามองสิ่งเหล่านี้ด้วยรสนิยมส่วนตัว อาจจะต้องบอกตามตรงว่า ดูเห่ยมาก แต่ถ้าลองมาคิดอีกแง่จะเห็นการแก้ปัญหาแบบบ้านๆของร้านเหล่านี้ สีสะท้อนแสงพวกนี้มันตัดกันดี กับสินค้าในร้านรวมทั้งสภาพแวดล้อมข้างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าทําให้มองเห็นได้ง่ายและยังดึงดูดสายตาของข้าพเจ้าอีกด้วย


ตอนนี้เราก็มาถึงเยาวราชเมืองคนจีนแล้ว คุณฟานเชสโก้ ออกอาการอิดโรยเล็กน้อย ส่วนคุณโอแซนคิง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเคยเป็น ” เจ้าถิ่น “ แถวนี้มาก่อนก็ได้ขออาสาแกมบังคับ ในการเป็นผู้นําทางให้กับผู้ด้อยเส้นทางทั้งสอง นาทีแรกที่ถึงเยาวราช เราก็ต้องตะลึงกับจํานวนป้ายอันมากมายมหาศาลราวกับฝูงตั๊กแตนที่ทําลายไร่ในแอฟริกาก็ไม่ปาน

------------------------
---------------------------------------------




---------------------------------------------------------------------


นอกจากป้ายแล้วที่นี่ยังอุดมไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ซึ่งอาจจะหนักไปทาง อาม่า อาอง อาอํ้ม อาซ้อ แล้วก็บรรดาเจ้ๆขาใหญ่ที่คอยโชว์พาวในโซนที่แกขายของ น่าแปลกที่การใส่แว่นดําของพวกเรากลับทําให้ตกเป็นเป้าสายตาของคนเหล่านี้ พวกเราทั้งสามคนตัดสินใจกันว่านอกจากจะมาวิเคราะห์แล้ว ยังกะมีการสัมพาทย์ เหล่าบรรดาคนในที่นั้น รวมทั้งชาวต่างชาติที่มาเที่ยว ว่ามีความคิดเห็นยังไงกับที่นี่
หลังจากเดินหาเหยื่อด้วยความกล้าๆกลัวๆก็สังเหตุเรื่องป้ายเรื่องอะไรไปพลางๆ ก็มองเห็นตู้โทรศัทพ์ซึ่งพยายามทําให้เข้ากับดินแดนมังกรแห่งนี้




ถามข้าพเจ้าว่าชอบไหม ก็ต้องตอบตามตรงว่า ชอบ ในเหตุผลในเรื่องของการทําให้เข้ากับสถานที่ แต่ข้าพเจ้าเองก็มีคําถามตามมาว่า แล้วมันจําเป็นต้องยัดเยียดความเป็นจีนขนาดนี้เลยหรือ?
บางทีแค่สีแดงก็อาจจะเพียงพอกับการทําให้กลมกลืนแล้วหรือเปล่า จุดที่น่าแปลกใจอีกจุดก็คือสถานที่อย่
างสําเพ็ง ซึ่งก็มีตู้ในลักษณะนี้ทั้งๆที่ไม่ได้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเลย ก็เลยทําให้
ในความรู้สึกของข้าพเจ้ายังรู้สึก ขาดๆเกินๆกับที่นี้อยู่ แต่ก็นับว่ายังดูยัดเยีอดน้อยกว่าตู้ที่พยายา
มจะทําตัวให้เป็นไทยที่โซนสยาม ในคณะที่สภาพแวดล้อมโครตจะหลากหลายละลานตา


ที่น่าสังเกตุอีกอย่างก็คือสีของป้ายก็มีความคล้ายคลึงกันมาก การใช้สีแดงหรือทองในป้ายที่เยาวราชนั้นเป็นเรื่องที่แสนจะปกติเหลือเกิน จากที่ข้าพเจ้าคิด สีของป้ายเหล่านี้น่าจะมาจากความ
เชื่อของคนจีนที่มีต่อสีเหล่านี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องของอาชีพในระแวกนี้ก็รู้กันอยู่ว่า นอกจากขายของไม่ว่าจะเป็น ยาจีน ไปถึง เกาลัดคั่วมรณะ สิ่งที่โด่งดังไม่แพ้กันเลยคือการขายทอง ซึ่งถ้าป้ายหน้าร้ายมีการใช้สีทอง นอกจากเรื่องของความเชื่อแล้วก็ยังน่าจะสื่อได้ถึงตัวสินค้าที่ขายด้วย



และแล้วโอแซนคิง ก็ได้ตัดสินใจที่จะซื้อเสื้อตี๋ตระกูลซ่ง จากป้าคนหนึ่งซึ่งหลังจากซื้อเสร็จข้าพเจ้าได้ใช้ วิธีที่กลุ่มข้าพเจ้าเรียกมันว่า “ การตลกแดก “ ตะล่อมถามป่้าแกเกี่ยวกับเรื่องป้ายและสถานที่ในเยาวราชนี้ โดยป้าแกได้ให้คําตอบว่า

“ สีแดง สีทอง ก็เป็นความเชื่อของคนจีน เกี่ยวกับเรื่อง สิริมงคล “

“ อีกเดือนคนก็จะมาซื้อเสื้อจีนกันเยอะมาก ก็ที่นี้คนจีนอะไรก็จีน “


ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเยาวราชเป็นสถานที่ที่มีการผสมผสานความเชื่อเข้ากับการออ
กแบบ
ซึ่งเป็นอย่างที่หลายๆคนรู้กันในวงการออกแบบเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบโลโก้ ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งตัวผู้บริหารเองก็เป็นคนจีน ซึ่งมีความเชื่อแบบจีนๆ และนําความเชื่อนั้นเข้ามาใส่ในงานออกแบบ


เมื่อเดินกันไปอีกซักพักก็พบฝรั่งผู้ดีคนหนึ่ง โอแซนคิงได้สละชีวิตเข้าไปถามแต่ยังไม่ทันที่จะได้ทําแบบนั้น ฝรั่งคนนั้นทําท่าโบกมือปัดป้อง เหมือนจะต้องการบอกว่า “ อย่ามายุ่งกับ i ”
พร้อมส่งสายตาอันไร้เยื้อใยซึ่งต่างจากนโยบายของนํ้าผลไม้ยี่ห้อหนึ่งที่บอกว่า มีเนื้อผสมอยู่ถึง 10 %


จากนั้นเราก็เดินหาเหยื่อชาวชาติชาติอย่างไม่ย้อท้อ จนสวรรค์ บรรดาลให้พบกับคุณเฟสเดอริก
โดย ขอขอบคุณ คุณฟานเชสโก้ ไว้ ณ ที่นี้ในฐานะล่ามสาระพัดประโยชน์

คิดยังไงกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ครับ

“ มัน Amazing มาก คุณคิดดูสิมีที่แบบนี้อยู่ใน Big city ด้วยที่่
Amsterdam เป็นเมืองใหญ่กลับไม่เป็นแบบนี้
ผมเป็นคนฮอลแลนด์ เมื่อสองวันก่อนผม เพิ่งมากจากที่หาด บอมเบย์ ที่นั้นเงียบมาก ซึ่งคุณก็
น่าจะเห็น Contrast ระหว่างที่นั้นและที่นี่เหมือนขาวกับดํา เอ๊! ในภาษาจีนเรียกว่าอะไรนะ
อ๋อใช่ !! ยิ๋น ย่าง (หยิน หยาง) คุณ เฟสเดอริด ชี้นิ้วประกอบการพูด


แล้วคิดถึงไงกับกราฟิกและป้ายของที่นี้

“ ผมอ่านมันไม่ออกหรอก เพียงแต่ก็พอรู้ว่าเป็นอะไรจีนๆ “

หลังจากนั้นเราก็คุยเรื่องอื่นกันต่อก่อนที่จะโบกมือลาพร้อมนํ้าตาลูกผู้ชายไว้ลายลูกเสือสํารอง
ซึ่งหลังจากได้คุยกันประมาณ10นาทีหรือมากกว่านั้น ผมรู้สึกผูกพันกับชาวดัชด์คนนี้ในระดับเบื้องต้น ก็เพิ่งได้รู้ว่าการแลกเปลี่ยนกับคนที่คิดอะไรจากวัฒนธรรมที่ต่างกันมันจะสนุกแบบนี้

ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนจีนทําให้พ่อและแม่ต้องมาซื้อของที่นี่เป็นประจําก็รู้สึกเฉยๆกับสถานที่น
ี้


ข้างๆกันมีอาซิมกําลังขายซิมของ happy อยู่ซึ่งก็น่าสนใจตรงที่ร่มของ happyนั้นก็ถูกออกแบบมาเพื่อที่นี่ด้วย

---------------------------------------------------------------------

---------------------------------------------------------------------

แถมอีกนิดร้านเจ้ขายนํ้าบ๊วยก็อยากจะจีนกับเค้าด้วย





( ขอขอบคุณคนที่ขอบคุณไปเมื่อตอนที่แล้ว)

11/09/2550

กัลยาณมิตรตะลุยแดนมังกร ภาค ระหว่างทาง


หลังจากได้รับโจทย์มหาสนุกจากอาจารย์ก็ได้ คิดอยู่ในใจว่าอยากจะไปทําเรื่องนี้ที่ท่าพระจัทร์เพราะส่วนตัวคิดว่ามันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หลายอย่าง แต่เนื่องด้วยประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ที่เกือบโดนเจ้าของร้านพระเอา "ปลัดขิก" ไล่ฟาดหัว เลยตัดสินใจที่จะรักษาชีวิตตัวเองให้ยาวขึ้นนิดหนึ่งดีกว่า (ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เนื่องจากปากตัวเองจะทําให้ชีวิตไม่ค่อยยืนยาวเท่าไรอยู่แล้วก็ตาม)
แล้วก็ตกเป็นที่น่าลําบากใจในการคิดสถานที่ที่จะไปสํารวจตรวจสอบกัดแกะแทะเกา เลยนําเรื่องนี้ไปปรึกษากับหลายๆคน สุดท้ายก็มาลงตัวที่คําแนะนําของอาจารย์ที่เคารพว่าให้ไปลองสํารวจและสอดแนมที่ เยาวราชโซน ซึ่งข้าพเจ้าและพวกพ้องทหารกล้าก็ได้ตัดสินใจที่จะลุยแหล่งคนจีน โดยก่อนไปข้าพเจ้าได้มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆในเยาวราช และก็ได้ตัดสินใจที่จะปลอมตัวเป็นชาวต่างชาติเพื่อให้รอดพ้นจากเงื้องมือของเจ้าถิ่นต่างๆของที่เยาวราชและเพื่อความสะดวกต่อการสื่อสารกับชาวชาติชาติจึงได้กราบขอร้องคุณ ฟานเชสโก้ให้มาเป็นล่ามและร่วมกันสํารวจในครั้งนี้ด้วย

โดยเหมือนเดิมที่ก็ต้องมีการแนะนําสมาชิกกล้าตายและกล้าเหนื่อยในทีมกันก่อน

1 คุณเนท ผู้ดีจอมปลอมแห่งคอสตาริก้า

สถานะ :พร้อมรบ บอกลาทางบ้านและให้อาหารหนูในห้องไว้เรียบร้อยแล้ว
อาวุธ :กล้องมือถือ Sony K790i เพื่อสะดวกต่อการแอบและเนียนถ่ายตามที่ต่างๆอย่างปลอดภัย ,แว่นตากันสายตาชาวบ้าน
ความคาดหวัง : อยากเจอสาระและความรู้ที่เยาวราช


2 โอ แซนคิง ราชาแมงป่องจ้าวแห่งทะเลทรายซาฮาร่าผู้ยิ่งใหญ่

สถานะ :น่าจะพร้อมรบ ก็เห็นบอกลาสาวๆไว้เรียบร้อยแล้ว
อาวุธ :กล้องNikon จํารุ่นไม่ได้, แว่น RayBrand ของแท้รับประกัน7ปี จากจีนแดง เพื่อกันแดดกระทบลูกตาเทพ
ความคาดหวัง : อยากได้ความรู้ สาระ รวมถึงอาหมวยสวยปิ๊งหิ้วกลับหอ 1 ถุง


3 คุณ ฟานเซสโก้ โมนาริชชี่ (ลูกเสี้ยวของประเทศ : อิตตาลี่ ญี่ปุ่น ฮอลันดา เกาหลี ) พอดีเห็นหลายคนถามมาว่าคุณฟานเชสโก้ เป็นคนชาติอะไรเลยขอแก้ข้อข้องใจไว้ ณ ที่นี้

สถานะ : โทรเลื่อนนัดเดินแบบการกุศลกับผู้จัดการส่วนตัวไว้เรียบร้อย
อาวุธ : ความหล่อ, ความสามารถด้านภาษาที่หลากหลาย, แว่นกันแดดที่พอใส่แล้วจะแยกระหว่างตัวคุณฟานเชสโก้ กับ เรน (นักร้องเกาหลี)ไม่ออก
ความคาดหวัง : ไม่อาจระบุได้เพราะโดนสองคนข้างบนลากมา





เริ่มต้นการเดินทางด้วยการเติมพลังด้วยการกินอาหารจากร้าน อิ่มจัง และก็ไปขึ้นรถตู้ ซึ่งมีป้ายเขียนอย่างชัดเจนรวมถึงมีลักษณะการเขียนที่ดูจริงจังบนป้าย white boardว่า" รถออก 11.57 ตรง " แต่น่าแปลกใจที่ในขณะนั้นนาฬิกาดิจิตอลสุดเก่าของข้าพเจ้ากลับขึ้นตัวเลขที่ 12:12 น. ถึงกระนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนก็ยังตัดสินใจถึงรถซึ่งพยายามจะรักษาวาจาสัจจะเยี่ยงชีวิต ระหว่างทางก็ถ่ายภาพ ของสองหนุ่มดัชชี่(ทูโทน)มาให้ดู



ระหว่างที่ต่อรถที่อนุเสาวรีย์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการจราจลโครตสะดวกสบาย ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจละทิ้งเงิน 3 บาทถ้วนเพื่อแลกกับสุขภาพของกระเพาะปัสสาวะ ในระหว่างที่ทําธุระอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นป้าย ที่น่าจะเขียนว่า "โปรดรักษาความสะอาด" ซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่าโปรดรักษาสติกเกอร์ดีดีเช่นกัน จริงๆเรื่องของวัสดุในการสติกเกอร์ตัวนี้ถ้านําวัสดุชนิดอื่นที่มีความคงทนถาวร เช่น แผ่นอะคิลิก หรือพลาสติก น่าจะทําให้มีอายุการใช้งานที่มากกว่านี้ แต่อาจจะด้วยปัจจัยดีต่างๆของสติกเกอร์ เช่น ความสะดวกสบายในการติด ราคาที่ถูกกว่า รวมถึงปัจจัยของเจ้าของโฆษณาผู้อนุเคราะห์สติกเกอร์ ก็อาจจะทําให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งอันนี้ก็สุดแล้วแต่ความคิดและนโยบายของแต่ละสถานที่

-----------------------------------------------------------------







-----------------------------------------------------------------



พอเดินออกมาอีกนิดก็มองไปเห็นป้ายบอกทางของสถานที่ ซึ่งตัวป้ายก็มี Signage ของแต่ละสถานที่ไว้ เป็นที่น่าสังเกตุสังกาว่า ไอ้ตรง Children's Hospitalกับ Phramongkutklao Hospital มีการใช้รูปสัญลักษณ์ "+" ที่มีสีและ form ที่เหมือนกัน จึงน่าคิดว่าหากถ้าเราขับรถผ่านไวๆหรือการมองแว๊บแลกหากมีการแยกกันให้ชัดเจนมากกว่านี้ อย่างเช่นการเปลี่ยนเฉพาะสี ซึ่งจะเห็นได้ตาม Package ของปากกาประเทศเยอรมันที่มีขายตามร้านเครื่องเขียนชั้นนําว่าสีช่วยเพิ่มความจํา ถ้างั้นการเปลี่ยนสีน่าจะทําให้ช่วยแยกแยะสถานที่ได้ง่ายกว่าหรือเปล่า? แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งในเมื่อมันเป็นโรงพยาบาลเหมือนกันก็น่าจะอยู่ในการจัดหมวดหมู่ที่เหมือนกัน การทําสัญลักษณ์และสีให้เหมือนกัน ก็อาจจะทําลดในเรื่องของความจําที่ไม่จําเป็น และการจัดการลําดับที่ลําบาก





ส่วนข้างๆก้มีตู้โทรศัพท์ซึ่งก็มีสติกเกอร์ซึ่งค่อนข้างจะเยินหน่อย เขียนว่า " โทรศัพท์สาธารณะทรูประหยัดกว่า 50 สต." ซึ่งถ้ามองในแง่ของวัสดุการเลือกใช้สติกเกอร์ก็น่าจะเป็นในเรื่องของโปรโมชั่นที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุอย่างสติกเกอร์ ก็น่าจะสมเหตุสมผล






หลังจากนั้นเราก็ถึงรถ taxi พร้อมทั้งใส่อุปกรณ์ในการปลอมตัวอย่างแนบเนียน โดยบอกพี่คนขับไว้ว่าจะลงที่สําเพ็งก่อน เอาหล่ะเราจะไปเจออะไรกันบ้าง
โปรดติดตามบทความต่อไป...
(ขอขอบคุณ 1 อาจารย์วีร์ สําหรับสถานที่ในการลุย 2 เพื่อนอีกสองตัวที่ไปด้วยกันอีกครั้ง 3 คุณบาบาร่า ณ หนองแขม ที่ให้คําแนะนําในด้านการปลอมตัวและคําอวยพรอันสวยหรู)